นักกฏหมายที่ดีได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถมาก มีศักดิ์และสิทธิดำเนินกระบวนการ
ในศาลแทนบุคคลอื่นได้ ( ว่าความแทนผู้อื่นที่ไม่มีความรู้ความสามารถว่าความด้วยตัวเองในศาล )
โดยทั่วไปแล้วเมื่อเกิดคดีความที่ฟ้องร้องกัน ไม่ว่าคดีแพ่ง คดีอาญา คดีล้มละลาย คดีอื่นๆ กฎหมาย
ไม่ได้บัญญัติว่า ผู้ที่ถูกฟ้อง หรือต้องการจะฟ้องคดีต้องไปจ้างทนายความให้ดำเนินการทุกคดี ดังนั้น
บุคคลทั่วไปก็สามารถว่าความอย่างทนายความได้ ด้วยตัวเอง ... แต่ด้วยข้อจำกัดที่ประชาชนทั่วไปส่วน
ใหญ่ของประเทศไม่รู้กฎหมายอย่างแท้จริง ไม่รู้วิธิดำเนินกระบวนพิจารณาใน ศาลที่จะว่าความเองได้
และถ้าไปดำเนินกระบวนการโดยที่ตัวเองไม่รู้ก็จะทำให้เสียรูปคดี หรือเสียเปรียบคู่ความอีกฝ่ายที่มี
ทนายความ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้มีคดีความทุกคนที่ไม่รู้ข้อกฎหมายจำเป็นต้องว่าจ้างทนายความเพื่อให้
ดำเนินการในศาลแทนทั้งหมดหรือบางส่วน
ทนายความจึงมีความสำคัญต่อตัวความเป็นอย่างมาก คนที่จะเป็นนักกฏหมายที่เก่งๆ ต้องรู้กฎหมาย
รอบด้าน สามารถแก้ปัญหาให้กับลูกความได้อย่างดี .ดังนั้นเมื่อนักกฏหมายที่มีความรู้รอบด้าน .จึงมีทั้ง
คนดีและไม่ดีปะปนกันไป ..อยู่ที่ว่าใครจะว่าจ้างไปทำอะไร จ้างไปดำเนินการที่ผิดกฎหมาย ก็เรียกว่า
" ทนายโจร " ... จ้างให้ดำเนินการตามกฎหมาย ก็เรียกกว่า " ทนายความ "
ทนายความคือผู้ที่มีความรู้กฎหมายและได้รับการอบรมวิชาว่าความจากสภาทนายความ และได้รับ
อนุญาตให้ว่าความได้ตามกฎหมาย ทนายความมีหน้าที่ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแทนตัวความ
ตั้งแต่ ร่างคำฟ้อง คำร้อง คำให้การ ฟ้องแย้ง . คำขอ . คำแถลง . อุทธรณ์ . ฎีกา นำส่งพยานหลักฐาน
นำสืบพยาน แต่ทนายความไม่มีสิทธิยอมความ หรือจำหน่าย สิทธิหรือดำเนิน..กระบวนการใดๆ ไปใน
ทางจำหน่ายสิทธิของคู่ความ เว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะยินยอมโดยชัดแจ้ง
เมื่อไปปรึกษากฎหมายกับทนายความ ส่วนใหญ่ก็จะต้องดูข้อเท็จจริงและหลักฐานต่างๆ ของผู้ที่มา
ปรึกษาเพื่อประกอบในการ แนะนำข้อต่อสู้หรือช่องทางของกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ฟ้องคดี หรือสู้คดี
การที่ไปปรึกษาทนายความโดยที่ไม่มีหลักฐานอะไร มีแต่คำพูดอย่างเดียวมาเล่าให้ฟังอย่างเดียว
ทนายความไม่สามารถที่จะแนะนำหรือชี้ชัดลงไปได้ว่าจะมีข้อต่อสู้หรือข้อโต้แย้งที่ ทำให้คดีมีผลตาม
เจตนารมย์ของผู้ปรึกษา ( พูดง่ายๆ อาจมีข้อผิดในภายหลังได้ " ไม่ถูกต้อง ๑๐๐ % " ) การจะไป
ปรึกษาทนาย ความหรือนักกฎหมายควรที่จะเตรียมเอกสารไปพร้อมกับเล่าข้อเท็จจริงทั้งหมด ( การ
เล่า ข้อเท็จจริง ถึงจะเป็นความผิดจริงๆ ก็ควร จะต้องบอกเล่า เช่น ไปฆ่าคนตายจริง , ข่มขืนเด็กจริง
, กู้เงินจริง , โกงเขาจริง , ลักทรัพย์จริง , มีชู้จริง ฯลฯ ) เพราะถ้าได้ความ จริงแล้ว การหาข้อกฎหมาย
เพื่อทางออกหรือข้อต่อสู้ในศาลก็จะตรงประเด็นตามที่ผู้ปรึกษาต้องการ แต่ถ้าบอกเล่าไม่หมดปิดๆบังๆ
ก็จะทำให้หาข้อกฎหมายไม่ตรงกับประเด็น ในที่สุดก็แพ้คดี
ทนายความเมื่อรับว่าความให้กับตัวความแล้ว ไม่ว่าตัวตวามจะเป็นเจ้าหนี้ ลูกหนี้ หรือผู้ได้รับ
ความเสียหายแล้ว หลักการและวิธีการที่กฎหมายกำหนดและต้องปฏฺบัติคือ
๑ . ทำหนังสือบอกกล่าวให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบก่อนจะดำเนินการฟ้องร้องคดีโดยทำเป็นจดหมาย
ลงทะเบียนตอบรับ หรือบางกรณีไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือบอกกล่าว
๒ . เมื่อถึงกำหนดวันที่ระบุในหนังสือและอีกฝ่ายไม่ดำเนินการ ทนายความต้องตั้งเรื่องฟ้อง
คดีต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษา หรือคำสั่งให้อีกฝ่ายปฏิบัติ
แต่ปัจจุบันนี้ จะมีพวกนักกฎหมายบางประเภทที่ชอบเลี่ยงกฎหมาย โดยเฉพาะพวกทนายเจ้าหนี้
ที่มักจะไม่ทำเป็นหนังสือบอกกล่าว ตามกฎหมายแต่จะส่งหนังสือไปให้อีกฝ่ายโดยเป็นการแจ้งให้
ทราบเท่านั้น เช่น " ท่านเป็นหนี้จำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท ให้ท่านติดต่อ ชำระหนี้ มิฉะนั้นท่านจะถูกฟ้อง
ถูกยึดทรัพย ถูกอายัดเงินเดือน ถูกแจ้งให้ติดแบล็คลิส และอาจจะมีข้อความตัวใหญ่ๆว่า อนุมัติฟ้อง
อนุมัติยึดทรัพย์ ( แต่ไม่อนุมัติยึดภริยา ) " เพื่อขู่ให้ลูกหนี้กลัว และก็จะคนอื่นโทรมาทวงหนี้ตามเบอร์
ที่เคยให้ไว้ทั้งที่บ้าน และที่ทำงานแทบทุกวัน พอลูกหนี้บอกไม่มีเงินคนที่โทรมาก็จะพูดดูถูกเหยียด
หยามต่างๆ นาๆ ที่เป็นเช่นนี้คงเพราะว่า พวกที่อ้างเป็น ทนายหรือสำนักกฎหมายที่ได้รับมอบอำนาจ
อาจจะได้รับมอบอำนาจมาให้ทวงหนี้เท่านั้น ไม่ได้รับมอบอำนาจมาให้ฟ้องคดีจริงๆ พวกนี้จึงใช้วิธี
ขู่ลูกหนี้ต่างๆ นาๆ เพื่อให้ได้เงินตามที่รับทวงหนี้มา ... ถ้าทวงหนี้ไม่ได้จริงๆ ก็จะด่าว่าลูกหนี้เสียๆ
หายๆ และส่งเรื่องการตามลูกหนี้ให้กับเจ้าหนี้โดยให้ข้อมูลว่าไม่สามารถติดตามได้ ( แบบนี้เรียกว่า
ทวงหนี้กินเปอร์เซ็น เจ้าหนี้ไม่ต้องเสียเงินจ้าง ผู้ที่ตามทวงหนี้ได้ก็จะได้เงินตามเปอร์ที่ตกลงกัน
" พูดง่ายๆ หากินแบบไม่ต้องลงทุน เที่ยวด่าเที่ยวขู่ลูกหนี้ก็ได้เงินแล้ว )
นักกฎหมายที่ดีมีความรู้ความสามารถยังมีอีกมาก . และพร้อมจะทำงานให้กับผู้ว่าจ้างอย่างเต็มที่
ถูกต้องโปร่งใส่ตรวจสอบได้ นักกฏหมายหรือทนายความที่จะรับจ้างทำงานเหล่านี้ .จะให้ความสำคัญ
เรื่องสัญญาว่าจ้างเป็นสิ่งที่ต้องมาเป็นอันดับแรกก่อนเริ่มทำงาน ( ถ้าไม่มีทนายที่เต็มใจที่จะทำสัญญา
จริงๆ Webmater จะดำเนินการให้ )
ข้อดีของการทำสัญญา มีหลักฐานแน่นอน รู้ความคืบหน้าของคดี ทนายที่เข้าทำสัญญาไม่กล้าที่
จะดำดิน ต่างฝ่ายต่างผิด สัญญากันไม่ได้
ข้อเสียของสัญญาคือ
๑ ทนายความที่จะทำสัญญาด้วยความเต็มใจมีไม่มาก
๒ ราคาว่าจ้างก็จะสูงกว่าทนายที่ไม่ทำสัญญา
๓ ถ้าผลคดีออกมาโดยที่ตัวผู้ว่าจ้างไม่ให้ความร่วมมือในคดี หรือไม่บอกข้อเท็จจริงที่ความบอก
หรือเหตุอื่นๆ ที่ทำให้ทนายไม่อาจต่อสู้คดีได้ จะฟ้องร้องอะไรไม่ได้เลยซึ่งเป็นเพราะความ
ผิดของผู้ว่าจ้าง เองทนายผู้นั้นก็ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ
แต่ทั้งหมดก็น่าเห็นใจผู้ว่าจ้างที่ว่าจ้างทนายให้ฟ้องคดี บางคนเป็นหนี้เป็นสินจริงๆ จนแทบ
จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว มีสมาชิกหลายท่านปรึกษากับเราในเรื่องนี้ แต่เราก็จนใจที่จะช่วยเพราะ
เคยเตือนเสมอว่า" การจะว่าจ้างให้ใครดำเนินการฟ้องร้อง ทางคดี อย่ามองหาทนายความหรือ
นักกฎหมายที่รับว่าความราคาถูกๆ เดี๋ยวจะเสียเงินสองต่อ .. ของถูกคุณภาพย่อมถูกตามไปด้วย"
เข้าตำราที่ว่า " เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย "
สำหรับสมาชิกทั่วไปที่ปรึกษากับเราและต่อว่าเรื่องค่าดำเนินการทางคดีไม่ว่า สืบคดี รือฟ้องร้อง
ราคาสูงกว่าที่อื่น และมีขั้น ตอนยุ่งยากหลายขั้นตอน . ขอเรียนให้สมาชิกและสมาชิกท่านอื่นๆ เพื่อจะ
ได้เข้าใจกันทุกท่านว่า เราพยายามที่จะให้ทุกท่าน รู้ให้หลักกฎหมายแนวทางต่อสู้คดี วิธีการและ
เทคนิคต่างๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถึงขนาดที่จะให้รู้กระบวนวิธีพิจารณาคดี ในศาล ( ซึ่ง
เป็นเรื่องที่ยากและสำคัญที่สุด ) ... ส่วนการจะว่าจ้างให้ดำเนินงานนั้น เราจะแนะนำให้หาทนาย
ความ หรือสำนักงานกฎหมาย ภายในเขตจังหวัดที่มูลคดีเกิด เพื่อความสะดวกและประหยัดในหลายๆ
ด้าน แต่ถ้าหาแล้วไม่ได้ดังใจของสมาชิก เราก็จะดำเนินงานให้ โดยอยู่ในขอบเขตที่เรากำหนด
ในสัญญา เพื่อรักษาผลประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ( อาจจะสูงอยู่บ้างแต่คุณภาพคับแก้วนะ ) ..
.ก่อนฟ้องคดีควรรู้อะไร ( เกร็ดน่ารู้ )
ในคดีฟ้องเรียค่าเสียหาย ฟ้องหย่า ฟ้องมรดก เรียกทรัพย์คืน เช็ค หนี้เงินกู้ ละเมิด ผิดสัญญา
ขับไล ค่าเช่า ก่อนฟ้องคดี หรือถูกฟ้องคดี ผู้จะฟ้องหรือถูกฟ้องต้องรู้ว่า
๑ . มีหลักฐานเพียงพอที่จะให้ศาลตัดสินให้ชนะคดีได้หรือไม่ ถ้าต้องหาเพิ่มให้รีบไปดำเนินการ
๒ . มีทรัพย์สินอะไรบ้าง ( บ้าน ที่ดิน รถ ที่ทำงาน อื่นๆ ) อยู่ที่ไหน ได้มา หรือโอนไปเมื่อไร
พอที่จะให้ยึดได้หรือไม่หรือจะหลบเจ้าหนี้ได้อย่างไร
๓ . ญาติพี่น้องใกล้ชิดอยู่ที่ไหน
๔ . อายุความฟ้องคดีหมดเมื่อไร ถ้าผู้จะฟ้องคดีไม่รู้เรื่องนี้เลยอาจเสียเงินโดยใช่เหต จงรีบดำเนิน
การก่อน ถึงแม้จะได้คำพิพากษาใบเดียว ก็ยังดีกว่า ..
๕ . มีเทคนิคกฎหมายที่ช่วยคดีได้อย่างไร .. ฝ่ายที่มีโอกาสชนะคดีจะเป็นฝ่ายแพ้คดีได้อย่างไร
และฝ่ายแพ้คดีจะมีโอกาสชนะได้อย่างไร
ทนายความเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม จึงมีโอกาสที่จะทำผิดหรือหาโอกาสกระทำใน
สิ่งที่ลูกความหรือผู้ว่าจ้างไม่รู้ได้เช่นกัน ( เฉพาะบางคน ) ....พวกนี้สังเกตได้ง่ายๆ ชอบรับว่าความ
แบบแย่งคดี
ตัวอย่าง .... นาย ก ไปปรึกษาทนายคนแรก และเรียกค่าว่าความ ๓๐๐,๐๐๐ บาท
พฤติกรรมพวกแรก จะถามลูกความที่มาพบว่า ไปปรึกษาทนายคนอื่นเข้าเรียกค่าดำเนินการ
เท่าไร เมื่อรู้ราคาแล้วก็จะเรียกราคา ให้ถูกลง เช่นจากตัวอย่าง ๓๐๐,๐๐๐ บาท ให้เหลือ ๒๐๐,๐๐๐
บาท หรือคิดว่าจะไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะเรียกแค่ ๑๐๐,๐๐๐ บาท
พฤติกรรมพวกที่สอง เมื่อรู้แล้วว่าทนายคนอื่นเรียกค่าว่าความเท่าไร (ตามตัวอย่าง ๓๐๐,๐๐๐ บาท)
ตัวเองจะไม่เรียกค่า ว่าความ แต่จะบอกว่า " เอามา ๑๐,๐๐๐ หรือ ๕,๐๐๐ บาท จะดำเนินการให้เอง "
แต่ไม่ได้บอกว่าจะต้องจ่ายให้อีกภายหลัง พอจะขึ้นศาลแต่ละครั้งก็จะบอกให้ลูกความเอาเงินมาให้อีก
๑๐,๐๐๐ หรือ ๕,๐๐๐ บาททุกครั้ง ในที่สุดก็เสียเป็นแสนเช่นกัน
พฤติกรรมพวกที่สาม ทำงานอยู่ในสำนักงาน หรือบริษัทกฎหมาย จะแสดงตัวว่าเก่งกว่าหัวหน้า
สำนักกฎหมาย พอรู้ว่าลูกความ ตกลงกับหัวหน้าสำนักกฎหมายในราคา ๓๐๐,๐๐๐ บาท และตัวเอง
เห็นว่า ถ้ารับคดีเองโดยตรงจากตัวลูกความ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ก็ทำได้และไม่ต้องแบ่งให้ใครเลย จึงแอบ
ไปติดต่อกับตัวความเอง
พฤติกรรมพวกสุดท้าย จะแสดงตัวว่าเก่ง รู้จักกับตำรวจ อัยการ. ผู้พิพากษา วิ่งคดีได้. สืบหาหลัก
ฐานคดีเองจะทำให้ชนะคดี แน่นอน และเรียกค่าวิ่งเต้น "อย่าเชื่อเลย การวิ่งเต้นคดีทำได้ยากมาก
แทบไม่มีโอกาสเลย "
ถ้าจ้างพวกที่มีพฤติกรรมเหล่านี้โปรดระวังให้ดี (เฉพาะบางคน) จะมีปัญหาตามมาภายหลังได้เพราะ
มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่า ทนายความสามารถถอนตัวจากการว่าความได้ตลอดเวลา และไม่ผิดกฎหมาย
ด้วยนะ ทนายพวกนี้จะ สังเกตุได้ง่ายๆ เมื่อตกลง ว่าจ้างกันแล้วจะไม่มีการทำสัญญาว่าจ้างหรือจ้าง
ว่าความ .จากนั้นก็จะขอรับเงินจำนวนที่ตกลงกัน ... สิ่งนี้แหละเป็นจุดเริ่มต้นในสิ่ง ที่เรียกว่า " ไม่รับ
ผิดชอบ " .. ถ้าว่าความแพ้ก็ไม่ต้องรับผิด และผู้ว่าจ้างไม่สามารถที่จะตรวจสอบได้ว่าที่แพ้คดีเพราะอะไร
แพ้ได้อย่างไร ทำไม่ถึงแพ้ แต่พวกนี้มักจะอ้างว่า " ขึ้นอยู่ที่ศาลตัดสิน " .." ศาลว่าอย่างไรก็ต้องเป็น
ตามนั้น " .. " หรือไม่ก็จะอ้างว่าอีกฝ่ายวิ่งคดีจึงทำให้แพ้ "
พวกนี้เหมาะกับท่านที่ชอบเอารัดเอาเปรียบ ชอบโกง คนอื่นเช่น หลีกเลี่ยงกฎหมายหาช่องว่าง
กฎหมาย เพื่อกระทำผิด เช่น ฆ่าคน ทำร้ายร่างการ ลักพาตัว เรียกค่าไถ ร่วมเพศเด็ก.โกงภาษี
โกงประกัน ส่งคนไปนอก ค้าหญิงและเด็ก โกงหุ้นส่วน รับจ้างทวงหนี้ ที่สำคัญพวกที่ทำธุรโกง
ชอบจ้างพวกนี้เอาไว้ประจำ
การแพ้คดีในศาลของทนายนั้นมีสาเหตุหลักๆ อยู่ไม่กี่อย่าง เช่น
๑ . ก่อนฟ้องไม่เตรียมพยานหลักฐานให้เพียงพอ
๒ . คำฟ้องไม่ครบองคฺ์ประกอบ ฟ้องไม่สมบูรณ์
๓ . ไม่ดำเนินในตามขั้นตอนให้ถูกต้องตามกระบวนวิธีพิจารณาความในศาล
๔ . การซักถาม ถามค้าน ถามติ่ง ไม่เป็นไปตามข้อมูลที่ผู้ว่าจ้างให้ หรือพยานหลักฐานที่มี
๕ . ไปยอมความกับคู่ความฝ่ายตรงข้าม .. หรือเปิดเผยข้อมูลในการต่อสู้ก่อนนำเสนอต่อศาลโดย
ที่ลูกความไม่รู้
๖ . แพ้เทคนิกกฎหมาย
ความจริงการว่าจ้างนักกฏหมาย ทนายความ หรือว่าจ้างทำการงานอื่นๆ กฎหมายถือว่าเป็นสัญญา
จ้างทำของคู่สัญญาสามารถตกลงกันได้ การตกลงนั้นไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือก็ได้ ตามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์เรื่อง นิติกรรมสัญญา กฏหมายก็ถือว่าแม้จะมีสัญญาด้วยวาจาโดยที่ไม่ได้
ทำเป็นหนังสือสัญญาก็ฟ้องร้องกันได้ แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วพอถึงเวลาที่จะฟ้องร้องกันจริงๆ ก็ทำได้
ยากมาก เพราะ ต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นให้ได้ว่า มีข้อตกลงกันในเรื่องนั้นเรื่องนี้กันอย่างไร การที่จะ
ฟ้องทนายความจึงไม่ใช่เรื่อง่ายๆ เลย ( อย่าเปิดศึกสองด้าน )
แต่ไม่ใช่ว่าทนายความจะถอนตัวได้ง่ายๆ ถ้าลูกความรู้กฎหมายก็อาจต้องเสียเงินคืน ให้กับ
ลูกความและยังต้องชดใช้ค่าเสียหายให้อีกด้วย ( ถ้าจำเป็นจะจ้างทนายความจริง ๆ S Detective &
lawyer มีวิธีทำให้ทนายความพวกนี้ไม่กล้ากินสองทาง . ตรวจสอบคดีได้ และต้องรับผิดชอบคดีอย่าง
เต็มที่ตามที่กฎหมายกำหนด ).
คำเตือน ( ขอฟรีไม่มีในโลก )
เราพยามเตือนสมาชิกหลายท่านอยู่เสมอว่า จะว่าจ้างนักกฏหมาย นักสืบ หรือทนายความ ..
๑ . ควรปรึกษาพูดคุยกันให้เข้าใจในรายละเอียดของคดีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนตัดสินใจ
๒ . อย่ามองนักกฏมาย หรือทนายที่ฐานะ หรือความสวยงามของสำนักงาน . " ทุกคนมีความ
รู้กฏหมายเท่าเทียมกัน "
๓ . ควรดูว่า ถ้าตกลงว่าจ้างกันแล้ว เขาจะยอมทำสัญญาจ้างว่าความเป็นลายลักษณ์อักษรให้หรือไม่ ..
ถ้าเขาแสดงท่าทีไม่อยากที่จะทำสัญญา ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ก็จ่ายค่าปรึกษาและไปหาทนายคน
ใหม่จะดีกว่า
๔ . อย่าตกลงค่าจ้างแบบเหมาจ่ายให้ตกลงแบบ จ่ายค่าจ้างหรือค่าวิชาชีพต่างหาก ค่าใช้จ่ายไป
ดำเนินคดี แต่ละครั้งต่างหากเพื่อจะได้ทราบว่า แต่ละครั้งที่มาเบิกเงินเป็นค่าใช้นั้น ไปทำงาน
อะไรบ้าง " จะได้ทราบความเคลื่อนไหวคดี "
๕ . ให้รายงานคดีทุกครั้งที่มีการดำเนินงานไป หรือก่อนดำเนินงาน
๖ . ข้อสำคัญผู้ว่าจ้างต้องให้ความร่วมมือทุกๆ ทางในคดีด้วย อย่าอ้างว่า " ไม่ว่าง " " ไม่มีเงิน "
และอื่นๆ เพราะจะเป็นผลเสียของผู้ว่าจ้างเอง และอาจถือว่าฝ่ายผู้ว่าจ้างไม่ให้ความร่วมมือจน
เป็นเหตุให้แพ้คดี หรือไม่สามารถดำเนินการได้
๗ . จงอย่าแสดงความขี้เหนียวออกมาเด็ดขาด . ควรมีน้ำใจทุกครั้งที่พบประกันและการตกลงจ้าง
ความ ไม่ควรต่อรองว่า ที่เหลือจะจ่ายเมื่อเสร็จคดีหรือเสร็จคดีแล้วจะมีเงินตอบแทนพิเศษ
( จะไม่มีนักกฎหมายเชื่อท่านเลย )
๘ . อย่าติดต่อโดยตรงกับทนายความผู้ไม่ใช่เจ้าของสำนักกฎหมาย " ในกรณีที่ไม่สามารถตกลง
ราคาจ้างกันได้ " เพราะทนายคนนั้น จะหาช่องว่างในขณะ เพื่อรับคดีเองในราคาที่ต่ำกว่า และ
อาจทำคดีของท่านไม่เต็มภูมิ
๑ - ๖ ข้อนี้ เป็นหลักสากลที่แท้จริง ในอเมริกาและยุโรปนิยมกันมาก โดยเฉพาะนักสืบ นักกฏหมาย
ทนายความ ในบ้านเรา ก็มีกฎระเบียบและกฎหมายให้ทำได้เช่นกัน แต่ผู้ว่าจ้างไม่ค่อยรู้ และผู้รับจ้าง
ก็จะไม่บอกให้รู้ . ส่วนข้อ ๗ - ๘ เป็นการบ่งบอกให้รู้ว่า ตัวผู้ว่าจ้างมีอุปนิสัยอย่างไร ใจแคบใจกว้าง
เพรียงใด และอาจส่งผลให้ทนายความดีๆ อาจจะไม่รับดำเนินการหรือดำเนินคดีให้
ถ้าที่คิดจะว่าจ้างทนายความหรือนักกฎหมายทำตามทั้ง ๘ ข้อ ... ท่านจะสามารถดูแลและควบคุม
คดี และป้องกันผลประโยชน์ของตัวท่านเองได้โดยที่ไม่ถูกหลอก .. ข้อสำคัญหลังไปปรึกษาคดีที่สำนัก
กฎหมาย ไหนก็ตาม เมื่อได้รับคำปรึกษาแนะนำเป็นที่พอใจ แล้วควรจ่ายค่าปรึกษา ( อย่าเหนียว )
เพื่อวันข้างหน้าท่านจะได้มีเพื่อนที่ดีไว้ปรึกษา หรือขอความช่วยยามอับจนจริงๆ ได้อีก เมื่อนักกฎ
หมายเป็นฝ่ายเริ่มให้ปรึกษาด้วยความจริงใจ ท่านจงแสดงน้ำใจตอบ ( นี่เหละเทคนิคการมีเพื่อนแท้ )
เรื่องสุดท้ายที่จะบอกนี่สำคัญมาก ในทุกคดีขอให้ดูที่คำพิพากษาตอนท้ายว่า " ( ให้โจทก์ หรือ
จำเลย ) จ่ายค่าฤชาธรรม เนียมหรือค่าทนาย " .. ค่าฤชาธรรมเนียมหรือค่าทนายความที่ศาลสั่งนั้น
ศาลสั่งให้กับฝ่ายชนะคดีไม่ใช่สั่งให้จ่ายให้กับทนายความ แต่ทนายความมักจะ " ดำดิน " ไม่บอก
เรื่องนี้ให้ลูกความหรือผู้ว่าจ้างรู้ .. และก็จะเอาเอกสารที่ให้ลงชื่อไว้แต่แรกมาก กรอกข้อ ความไปขอ
รับเงินตามที่ศาลสั่งไปใช้ส่วนตัว ( ผิดกฎหมายถึงกับถอนตั๋วทนาย และถูกดำเนินคดีฐานยักยอก
ทรัพย์ด้วย ) ถ้าพบทนายความหรือนักกฎหมายที่กระทำอย่างนี้ ขอให้ท่านดำเนินการทางคดีทันที่
หรือปรึกษา Webmater จะช่วยแนะวิธีดำเนินการให้ .. หรือถ้าพบทนายประเภทนี้ให้บอกต่อๆ กัน
ด้วย จะดีมากจะได้ไม่ต้องสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นๆ
ขอบอกอีกนิดว่า สัญญาว่าจ้างทำการงาน " จ้างทำของ " กฎหมายถือว่าทนายความ (ผู้รับจ้าง )
ไม่ใช่ลูกจ้าง ผู้รับจ้างหรือทนายความเปรียบเสมือนตัวแทน ... ดังนี้ถ้าใครๆ ที่คิดว่าเมื่อว่าจ้างทนาย
ความหรือนักกฎหมายแล้วจะใช้ให้ทำโน่นทำนี้แบบลูกจ้าง .. จงระวังไว้เขาอาจถอนตัวและเลิกสัญญา
ได้ .ซึ่งผลเสียก็จะเกิดกับผู้ว่าจ้างเอง จะไปเรียกร้องอะไรก็ไม่ได้ .. การทำงานของทนายความผู้รับ
จ้างต้องเป็นอิสระ ใช้ความรู้สามารถที่มีอยู่เฉพาะตัวให้ผลงานออกมาดีที่สุดตามวัตถุประสงค์ของผู้ว่า
จ้าง เมื่อทนายความผู้รับจ้างทำดีที่สุดแล้ว กฎหมายก็ให้ความคุ้มครอง .. ถ้าทำได้ไม่ดีเพราะไม่มี
ความบริสุทธิ์ใจกฎหมายก็ลงโทษช่นกัน
ทั้งหมดเป็นเรื่องที่หลายท่านไม่รู้และไม่มีโอกาสที่จะได้รู้ เมื่อรู้แล้วก็เก็บเอาไว้เป็นอาวุธป้อง
กันตัวเอง เพื่อไม่ให้ต้องแพ้ และเสียรู้ " พวกมิจฉาชีพทางกฎหมาย " ถ้าจะจ้างทนายจริงๆ ต้องหา
มืออาชีพ " เสียเงินไม่ว่า อย่าแพ้เขาแล้วกัน "
ทำอย่างไรจะรู้ว่าชนะคดี
ตัวอย่างง่ายๆ
เมื่อท่านถูกฟ้องคดีฐานกู้ยืมเงินให้ใช้เงินตามฟ้อง หนทางที่จะชนะคดีในมูลหนี้ทั้งหมดคงจะชนะ
ได้ยาก นอกเสียจากคดีขาดอายุความ หรือไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม ลูกหนี้ก็ชนะคดีแน่นอน
แต่ถ้าทนายเจ้าหนี้มีหลักฐานครบและศาลต้องพิพากษาให้ใช้หนี้ตามที่เจ้าหนี้ฟ้อง แต่ถ้าลูกหนี้
ต่อสู้ว่าไม่มีทรัพย์ที่จะใช้หนี้ หรือถึงจะมีแต่กฎหมายก็ไม่สามารถที่จะให้เจ้าหนี้มาบังคับยึดหรือ
อายึดได้เท่านั้ก็ถือว่าชนะคดีแล้ว ที่ชนะก็เพราะ ถึงเจ้าหนี้จะชนะคดีทางคำพิพากษา แต่เจ้าหนี้
ก็ยึดทรัพย์ลูกหนี้ไม่ได้ เท่ากับลูกหนี้ไม่ต้อง จ่างเงินใช้หนี้ตามคำพิพากษา เมื่อไม่ได้จ่ายเงินให้
เจ้าหนี้ๆ ก็ไม่สามารถเอากฎหมายมาบังคับให้ใช้หนี้ได้ นี้แหละที่เรียกว่า " ชักดาบ ตามกฎหมาย "
ชนะคดีแบบใช้กฎหมายเข้าช่วย
ขณะนี้มีนักกฎหมายปลอม
มีสามาชิกหลายท่านเล่าให้ฟังว่า ขณะนี้มีนักกฎหมายบางคนมีพฤติกรรมทางอินเตอร์เน็ตที่
ไม่น่าไว้ใจคือ มีหลายเว็บไซย์ที่ทำกระดานกฎหมายแบบฟรีบอร์ด " ใครจะเขามาเขียนอะไร
ก็ได้ ลงประการศคงามทุกข์ของตัวเองแบบอิสระ" มีคนเป็นหนี้บัตรเครดิตจำนวนมากที่มีถูกตาม
ทวงหนี้ถึงที่ทำงานหรือถูกฟ้องคดีแต่ไม่รู้จะจะหาทางออกอย่างไร บางคนไปโพส์ข้อความเล่าความ
ทุกข์ไว้ในกระดานฟรีบอร์ด และในเว็บบอร์ดนั้นจะมีกลุ่มคนบางพวกที่ทำตัวเป็นผู้รู้กฎหมายตอบ
ปัญหาให้กับผู้ที่เป็นหนี้ที่เขียนข้อความเอาไว้ และจะอ้างตัวเองว่าช่วยเพื่อนๆ ให้พ้นทุกข์ไม่ให้
เป็นหนี้ หรือเป็นการให้กำลังใจกับคนที่มีปัญหาเรื่องหนี้บัตรเครดิต " ขอย้ำ คนเป้นหนี้บัตร
เครดิต " เมื่อผู้ที่เขียนข้อความต้องการให้ผู้ที่อ้างว่าเห็นใจนั้นช่วยเหลือ ผู้ที่เขียนนั้นก็จะอ้างว่า
มีทนายเก่งคนหนึ่งที่ช่วยลูกหนี้บัตรเครดิตมาเป็นร้อยๆคน เก่งมากเรียกค่าทนายไม่แพงถูกมาก
สมาชิกที่มาเล่าให้ฟังต่อว่าเคยไปเข้ากลุ่มตามที่เขานัดไปรวมตัวทานข้าวกันปรึกษาและให้
กำลังใจกัน ปรากฎหมายมีการแนะนำให้รู้จักกับทนายความท่านหนึ่ง และพวกกลุ่มที่อ้างตัวว่ารู้
กฎหมายก็จะคุยยกยอต่างๆนาๆ และพูดถึงเว็บสำนักกฎหมายอื่นๆ ทีเป็นเจ้าของเว็บไซย์ตัวเอง
ว่า " ไม่เก่ง ไม่ช่วยลูกหนี้จริง ค่าจ้างก็แพง แถมเสียค่าปรึกษาด้วย และอื่นๆที่จะพูดโน้มน้าว
และพูดอวดสรรพคุณทนายคนที่พามา " จนกลุ่มลูกหนี้หลงเชื่อตกลงว่าจ้างให้ทนายคนนั้น โดย
เก็บเงินจากจากกลุ่มลูกหนี้ยี่สิบถึงสามสิบคนและให้ลงชื่อใบแต่งทนาย แต่ไม่มีการทำสัญญาจ้าง
ว่าความ มีแต่คำพูดของกลุ่มผู้อ้างว่ารู้กฎหมายว่าชนะแน่นอนไม่ต้องห่วง จากนั้นก็จะนัดกลุ่มลูก
อีกหลายครั้งทุกครั้งที่มาพบก็จะต้องเสียเงินโดยกลุ่มผู้อ้างรู้กฎหมายจะอ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ
ให้กับทนาย สมาชิกท่านนั้นเห็นว่าทุกครั้งที่นัดมาพบก็มักจะมีการไปทนาอาหารที่ร้านอาหาร
ใหญ่ๆ ทุกครั้ง มีทั้งสั่งสุรามาทางด้วยและก็ให้กลุ่มลูกหนี้แชร์กันออกค่าอาหาร ทุกครั้งที่นัด
ไปพบกลุ่มกันก็จะมีคนที่เป็นลูกหนี้หน้าใหม่ๆ เพิ่มมาทุกครั้ง และก็จะมีการพูดแบบเดิมๆ
สุดท้ายก็เรียกเก็บเงิน และแชร์ค่าอาหารและสุรากัน
จนในที่สุดสมาชิกท่านั้นรู้ว่ากลุ่มที่อ้างว่ารู้กฎหมายเพื่อช่วยเหลือเพื่อนๆที่เป็นหนี้บัตรเครดิต
เป็นผู้ที่ไม่ได้เรียนจนนิติศาสตร์ ( จบกฎหมาย ) บางคนเป็นเพียงข้าราชการชั้นผู้น้อยบางคน
ทำงานบริษัท บางคนไม่ได้ทำงานเป็นแค่อาสาสมัคร เพียงมีบ้านหรือที่ทำงานมีคอมพิเตอร์
มีความรู้แค่พิมพ์เขียนในกระดานบอร์ดทั่วๆไป ไม่มีความรู้กฎหมายอะไร ที่ทำตัวเก่งกฎหมาย
ก็เพราะไปถ้าจากเว็บอื่นๆ หรือลอกข้อความจะเว็บอื่นเขามาตอบคนที่โพส์ไว้เพื่อให้ทุกคนรู้ว่า
ตัวเองเก่งกฎหมาย ที่สำคัญชื่อที่ใช้ในการแสดงตัวในเว็บบอร์ดก็เป็นชื่อปลอม อีเมล์ที่ใช้ก็
ไม่บอกที่อยู่หรือชื่อจริงนามสกุลจริง
ที่เอามาเล่าเตือนทุกท่านเพราะอยากให้รู้ว่า กลุ่มคนเหล่านั้นที่อ้างรู้กฎหมายตอบกฎหมายเก่ง
ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มีความรู้กฎหมายหรือเรียนจบกฎหมายจะช่วยใครได้ นอกจากแอบอ้างหรือมีเพื่อน
เป็นทนายเท่านั้น คนพวกนี้จะเป็นมิฉาชีพหรือไม่นั้นไม่กล้าที่จะยืนยัน แต่ถ้ารู้กฎหมายจริง
และมีเพื่อนเป็นทนายความว่าความเก่งจริง ทำไม่ไมตั้งเป็นสำนักงานกฎหมายเสียและทำเว็บ
ไซย์เป็นของตัวเองแบบเดียวกับเราหรือของสำนักกฎหมายอื่นๆ ที่เขาทำกัน ใช้ชื่อจริงนามสกุล
จริงที่อยู่จริงสามารถพบได้ตลอดเวลา มีเว็บบอร์ดเอาไว้ตอบปัญหากฎหมายให้กับทุกคน โดย
เปิดเผยถูกต้องเวลามีปัญหาจะได้ตามจับตัวเข้าคุกได้ แต่กลับปิดๆบังๆตัวเองแม้แต่ชื่อจริงยัง
ไม่อยากให้ใครรู้จัดทั้งที่ตัวเองอวดอ้างว่ารู้กฎหมายอยากช่วยเพื่อนๆ ที่เป็นหนี้บัตรเครดิต
ส่วนตัวทนายผู้นั้นที่ไม่ออกมาแสดงตัวเองตอบปัญหากฎหมายเป็นเพราะเหตุผลทางกฎหมาย
" ซึ่งเขาก็รู้และเราก็รู้ ( ไม่มากวนเว็บเราก็ใช้ได้ ทางใครทางมัน ) "
วิธีที่จะรู้ว่าพวกกลุ่มที่อ้างเป็นนักกฎหมายตอบกระทู้ในเว็บไหนโดยที่ตัวเองไม่ใช่เจ้าของ
เว็บเป็นผู้ที่น่าเชื่อถือสามารถช่วยท่านได้จริงหรือไม่ ให้ท่านลองโพส์ถามชื่อและนามสกุลจริง
บ้านที่อยู่ ที่ทำงาน และหมายเลขโทรศัพท์พื้นฐาน ( ไม่ใช่มือถือ ) เรียนจบกฎหมายที่มหา
วิทยาลัยไหนในกระดานบอร์ดนั้นและให้เขาตอบในกระดานบอร์ดนั้นด้วย ถ้าเขาตอบก็
แสดงว่า เขาน่าเชื่อถือ แต่ถ้าเขาเขียนด่าท่านแบบเสียๆหายๆ หรือหาว่าท่านเป็นพวกกวน
เมืองหรือก่อนกวนให้แตกแยกกัน หรือหาว่าท่านเป็นพวกทนายเจ้าหนี้ หรือพวกรับจ้าง
ทวงหนี้ ให้ท่านสันนิฐานไว้ก่อนว่าเขาคงไม่ใช่คนดีแน่อนอน ทั้งๆที่ท่านก็ถามด้วยความซื่อ
วิธีนี้เป็นการจับผิดโจรทางอินเตอร์เน็ตที่ใช่ได้ผลแน่นอน และทางราชการก็ยังใช่ตรวจสอบ
หาพวมมิฉาชีพทางอินเตอร์เน็ตอยู่
ดังนั้นถ้าท่านพบคนกลุ่มบุคคลที่มาในลักษณะนี้ก็ความพิจารณาเอาไว้ ท่านอาจจะกลายเป็น
เจ้ามือเลี้ยงสุราปลาปิ้งโดยไม่รู้ตัว จากการสืบรู้มาว่ากลุ่มพวกนี้เป็นผู้ชายสี่งถึงห้าคนส่วนผู้หญิง
ก็จะเป็นลูกหนี้บัตรเครดิตที่ยังหลงอยู่ในกลุ่ม ในโลกของอินเตอน์เน็ตก็เหมือนกับการไปตลาด
นัดทั่วๆไป ถ้าใครเป็นเจ้าของร้านที่เช่ามาพื้นที่มาก็เหมือนกับเจ้าของเว็บไซย์ที่ขายของมีคุณ
ภาพดีและรับประกันคุณภาพได้ ถ้าใครไม่ได้เช่าพื้นที่ขายของอาศัยยืนขายข้างแผงคนอื่น
และตะโกนว่า สินค้าตัวเองมีคุณภาพดีและรับประกันคุณภาพเช่นกัน พอขายได้แล้วสินค้าไม่ดี
ก็บอกว่าไม่ได้ซื้อที่ร้านตัวเอง หรืออาจมีของแถมเป็นมือเท้าเข่าศอก หรือด่าตบท้ายก็ได้ แบบ
นี้เรียกว่า ไม่มีหน้าร้านเป็นของตัวเอง ก็เหมือนกับเว็บไซย์หรือสำนักงานกฎหมายที่จะแสดง
ให้เห็นถึงความสามารถที่แท้จริง หลบๆซ่อนๆ หากินไปวัน ในทางกฎหมายเปรียบพวกนี้ว่า
" เป็นพวกตีนโรง ตีนศาล " ใครๆ ก็รู้ สักวันหนึ่งพวกนี้จะมีข่าวออกมาให้เห็น แล้วคอยดู
ไม่มีทางที่จะหาพวกนี้เจอ อย่างน้อยก็เป็นอุทธาหรณ์รู้ว่า สำนักกฎหมายที่เปิดอยู่แน่นอน
กับคนที่อ้างว่ารู้กฎหมายแต่ยืนอยู่ข้างถนน การแก้ไขปัญหาทางกฎหมายไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้
หรือลูกหนี้ ผู้ที่เรียนรู้ทางด้านกฎหมายและมีประสบการณ์จริงเท่านั้นที่จะรู้จริงและหาทางช่วย
ให้คดีประสพความสำเร็จ ไม่ใช่พวกตีนโรงตีนศาล คุณจะเชื่อใคร ( เราตือนคุณแล้วนะ ) |