1.ความหมายของนิติกรรม
ตอบ การกระทำใดๆ ที่ชอบด้วยกฎหมายและใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ ระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อเปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ การแสดงเจตนาของนิติกรรมอาจจะแสดงด้วยวาจา ลายลักษณ์อักษร หรือการนิ่งก็ได้ นิติกรรมแม้จะทำด้วยใจสมัคร ก็มีข้อบกพร่อง ถ้ากฎหมายเข้าไปควบคุมและไม่อนุญาตให้ทำ
2.องค์ประกอบของนิติกรรม
ตอบ 1.องค์ประกอบที่เป็นสาระสำคัญ ได้แก่
บุคคล นิติกรรมจะเกิดขึ้นได้ต้องมีบุคคลในการทำนิติกรรม ซึ่งบุคคลที่จะทำนิติกรรมนั้นต้องมีความรู้สำนึกในสิ่งที่ตนกระทำ และมีความสามารถในการทำนิติกรรมต่างๆ ได้ตามที่กฎหมายบัญญัติ
วัตถุประสงค์ การทำนิติกรรมย่อมมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความเคลื่อนไหวทางกฎหมายในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือ ระงับซึ่งสิทธิ (ป.พ.พ. ม.149)และวัตถุประสงค์ที่จะกระทำต้องไม่เป็นการพ้นวิสัยหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน (ป.พ.พ. ม.150)
แบบ ในการทำนิติกรรมต้องกระทำด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะมีกฎหมายบังคับให้ทำ หรือเป็นวิธีการที่เกิดจากความสมัครใจของผู้ทำนิติกรรมก็ตาม ซึ่งแบบของนิติกรรมตามที่กฎหมายบังคับไว้แบ่งเป็น 5 ชนิด ดังนี้ 1.ส่งมอบทรัพย์ 2.ทำเป้นหนังสือ 3.จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน 4.ทำเป็นหนังสือหรือจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ 5.แบบพิเศษ
เจตนา การทำนิติกรรมจะต้องเกิดจากเจตนาของผู้ทำนิติกรรม ที่สมัครใจให้เกิดผลทางกฎหมาย เจตนาถือเป็นองค์ประกอบภายใน แยกออกได้ 3ประการ คือ
1.เจตนาที่จะกระทำ หมายถึง เจตนาที่มุ่งถึงความประพฤติภายนอกของบุคคล ที่จะเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อให้บุคคลอื่นทราบถึงเจตนาที่ประสงค์จะแสดง
2.เจตนาที่จะแสดงออก หมายถึง ความรู้สึกภายในของผู้แสดงเจตนา และเจตนาที่จะแสดงออกนี้ย่อมมีอยุ่ เมื่อข้อความหรือการกระทำถูกต้องตรงกับเจตนาภายในจิตใจของบุคคล
3.เจตนาที่จะแสดงนิติกรรม หมายถึง เจตนาอันมุ่งโดยตรงเพื่อจะให้เกิดผลในกฎหมาย
2.องค์ประกอบเสริม ได้แก่
เงื่อนไข คือการนำเอาเหตุการณ์ที่ไม่มีความแน่นอนในอนาคต มากำหนดเกี่ยวกับความเป็นผลหรือการสิ้นผลของนิติกรรม
เงื่อนเวลา คือการนำเอาเวลาอันเป็นเหตุการณ์ในอนาคตที่แน่นอน มากำหนดเกี่ยวกับความเป็นผลหรือสิ้นผลของนิติกรรม
3.นิติกรรมฝ่ายเดียวกับนิติกรรมสองฝ่าย
ตอบ นิติกรรมฝ่ายเดียว หมายถึง นิติกรรมทางปกครองที่องค์กรของรัฐสามรถแสดงเจตนากำหนดหน้าที่ให้เอกชนได้ฝ่ายเดียว โดยเอกชนไม่จำเป็นต้องให้ความยินยอม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะของการสั่งการหรือคำสั่ง ให้กระทำหรือละเว้นการกระทำ
นิติกรรมหลายสอง หมายถึง นิติกรรมทางปกครองที่เกิดขึ้นจากการแสดงเจตนาของบุคคลสองฝ่ายหรือหลายฝ่าย อันได้แก่ สัญญาทางปกครองนั่นเอง ซึ่งลักษณะสำคัญคือมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นฝ่ายปกครอง และมีวัตถุแห่งสัญญาเป็นบริการสาธารณะ ซึ่งแตกต่างจากสัญญาทางแพ่งเป็นอย่างมาก
4.นิติกรรมที่มีค่าตอบแทนกับนิติกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทน
ตอบ นิติกรรมที่มีค่าตอบแทน ได้แก่ นิติกรรม 2 ฝ่าย ซึ่งต่างฝ่าย ต่างมีผลประโยชน์
ตอบแทนกัน ซึ่งค่าตอบแทนนี้ อาจเป็นประโยชน์หรือทรัพย์สิน หรือ การชำระหนี้ตอบแทนก็ได้
เช่น สัญญาซื้อขาย , สัญญาจ้างแรงงาน , สัญญาจ้างทำของ ฯลฯ ซึ่งบัญญัติไว้ในบรรพ 3
และ รวมทั้งสัญญา ซึ่งไม่ได้บัญญัติไว้ใน บรรพ 3 แต่เกิดขึ้นจากการแสดงเจตนาของบุคคล
เกิดเป็นสัญญาขึ้น เช่น สัญญาเล่นแชร์เปียหวย เป็นต้น
นิติกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทน ได้แก่ นิติกรรมที่ทำให้เปล่าไม่มีค่าตอบแทนเลย หรือ นิติกรรม
ที่ผู้รับการแสดงเจตนาของอีกฝ่ายหนึ่งนั้น ไม่ต้องให้ประโยชน์ตอบแทนอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น
สัญญาให้โดยเสน่หา , สัญญายืมใช้คงรูป , สัญญาฝากทรัพย์โดยไม่มีบำเหน็จ , พินัยกรรม เป็นต้น
5.การแสดงเจตนาโดยชัดแจ้งกับการแสดงเจตนาโดยปริยาย
ตอบ การแสดงเจตนาโดยชัดแจ้งหรือโดยตรง อาจเป็นการแสดงโดยกิริยา วาจา หรือ
ขีดเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร
การแสดงเจตนาโดยปริยาย คือการกระทำที่พอจะสันนิษฐานได้ว่าเป็นการแสดงเจตนา การที่บุคคลใช้สินค้าที่เขาส่งมาให้โดยตนไม่ได้สั่ง ถือว่าเป็นการแสดงเจตนาโดยปริยาย
6.นิติกรรมอำพรางคืออะไร และ มีหลักการอะไร
ตอบ นิติกรรมอำพราง หมายถึง นิติกรรมอันหนึ่งที่ทำขึ้นด้วยเจตนาลวง เพื่อปิดบังนิติกรรมอีกอันหนึ่งที่ทำขึ้นด้วยเจตนาอันแท้จริง ซึ่งกฎหมายให้บังคับตามกฎหมายเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางนั้น.
มีหลักดังต่อไปนี้
- คู่กรณีทำนิติกรรมขึ้นมา 2 ฉบับมีเนื้อหาข้อความแตกต่างกัน
- นิติกรรมอันหนึ่งทำขึ้นโดยเปิดเผยบุคคลภายนอกแต่เกิดขึ้นจากการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันระหว่างคู่กรณีเพื่อปิดบังนิติกรรมอีกอันหนึ่ง
- นิติกรรมอีกอันหนึ่งหรือนิติกรรมที่ถูกปกปิดเป็นนิติกรรมที่ทำขึ้นตามเจตนาที่แท้จริงของคู่กรณี แต่สงวนไว้เป้นความลับรู้กันเฉพาะคู่กรณีเท่านั้น
7.การแสดงเจตนาวิปริตคืออะไร และ มีเงื่อนไขอะไรบ้างที่จะเข้าข่ายการแสดงเจตนาวิปริต
ตอบ สำคัญผิด คือ การเข้าใจผิดไม่ถูกต้องต่อความเป็นจริงแห่งข้อเท็จจริงนั้น ๆ เพราะการที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และไม่รู้ตัวในขณะแสดงเจตนานั้น ซึ่งผลของการที่หลงผิดทำให้แสดงเจตนาออกมาไม่ตรงกับเจตนาแท้จริงที่ผู้แสดงเจตนาประสงค์ การสำคัญผิด หรือบางทีเรียกกันว่าความหลงผิด ได้แก่ กรณีความนึกคิดของผู้แสดงเจตนาไม่ตรงกับความเป็นจริงที่เป็นอยู่ โดยที่ผู้แสดงเจตนามิได้รู้ถึงความจริงข้อนี้และได้แสดงเจตนาดังกล่าวออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้แสดงเจตนาไม่รู้ว่าเจตนาที่แสดงออกมานั้นไม่ตรงกับเจตนาที่แท้จริง เพราะถ้าผู้แสดงเจตนารู้ตัวว่าเจตนาที่ตัวแสดงออกมาไม่ตรงกับเจตนาแท้จริงในใจของตนแล้ว ก็จะเป็นเรื่องของการแสดงเจตนาออกมาโดยในใจจริงไม่ต้องการผูกพันตามการแสดงเจตนาที่ตนแสดงออกมา ซึ่งได้แก่การแสดงเจตนาซ่อนเร้น ตามมาตรา ๑๕๔ หรือมิฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่แสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งได้แก่การแสดงเจตนาลวงตามมาตรา ๑๕๕
|