ร่วมแสดงความคิดเห็นในหัวข้อ |
ย้อนกลับ
|
ถัดไป
|
|
|
ล้มบนกองฟูก,ล้มละลาย,ขอพิจาณาคดีใหม่,ถอนฟ้อง,หนี้ขาดอายุความศาลยกขึ้นเองได้,ฟ้องแย้งไม่ได้,ทุเลาบังคับคดีไม่ได้,หลักอื่นๆที่จำเลยต้องดู
|
การพิจารณาคดี
-การถอนฟ้อง มาตรา 11
-ถอนฟ้องระหว่าง พิจารณาคดีของศาลชั้นต้นเท่านั้น เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้วจะถอนฟ้องไม่ได้ โดยการให้ถอนฟ้องเป็นดุลพินิจศาล ส่วนคดีในศาลสูงถอนอุทธรณ์ได้เท่านั้น
-การพิจารณาพิพากษาคดี มาตรา 13,14
-คดีล้มละลายไม่มีขาดนัดยื่นคำให้การเช่นคดีแพ่ง จำเลยอาจยื่นคำให้การก่อนวันนัดพิจารณาได้
-จำเลยไม่มาศาลในวันนัดพิจารณา ถือว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา จำเลยขอพิจารณาคดีใหม่ได้
-ศาลต้องกำหนดวันนั่งพิจารณาไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน มิเช่นนั้นเป็นการผิดระเบียบ
-พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
-ต้องได้ความจริงว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว เป็นหนี้จำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดได้
-จำเลย สืบแก้ได้ว่า มีทรัพย์สินพอชำระหนี้ได้ทั้งหมด ทรัพย์สินอาจเป็นทรัพย์ที่อาจมีในภายหน้าได้ แม้โจทก์ได้รับข้อสันนิษฐานตามมาตรา 8 เช่น ทวงหนี้สองครั้งโดยเวลาห่างกันสามสิบวัน ศาลก็ยกฟ้องเมื่อจำเลยได้ชำระหนี้ทั้งหมดได้ โดยต้องพิจารณาลูกหนี้เป็นรายคน แม้ว่าลูกหนี้อื่นมีทรัพย์สินก็ตาม
-คดี ล้มละลายต้องเอาความจริงจึงไม่ใช่ ปวิพ. โดยเคร่งครัด เช่น ไม่ใช้ มาตรา 94 หรือจำเลยยื่นบัญชีระบุพยานโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย, สืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงเอกสารได้ เอกสารที่สืบไม่ต้องส่งสำเนาก่อน แม้คู่ความไม่ได้สู้เป็นประเด็นไว้ก็ยกต่อสู้ได้ เช่น ศาลยกอายุความขึ้นยกฟ้องได้
-บางกรณีที่ใช้ ปวิพ. เช่น เอกสารต้องใช้ต้นฉบับในการสืบพยาน การถามพยานต้องให้โอกาสพยานชี้แจง ตาม ปวิพ. มาตรา 89
-จำเลย เป็นข้าราชการ แม้เงินเดือนไม่อยู่ในข่ายบังคับคดี แต่เมื่อขวนขวายชำระหนี้ก็อาจเป็นเหตุอื่นที่ไม่ควรพิพากษาให้ล้มละลาย แต่ถ้าไม่ขวนขวายขอชำระหนี้ก็พิพากษาให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดได้
-หนี้ ตามคำพิพากษายังไม่ถึงที่สุด ก็ถือเป็นเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ล้มละลายได้ เช่น หนี้ภาษีแม้ได้ประเมินแล้ว แต่จำเลยได้ฟ้องศาลเพิกถอนการประเมิน เนื่องจากศาลอาจเพิกถอนการประเมินได้
-ลูกหนี้อื่นมีทรัพย์สินก็ไม่ถือเป็นเหตุอื่นที่ลูกหนี้ไม่ควรล้มละลาย
-หนี้ที่ขาดอายุความ ถือว่าเป็นเหตุที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลาย แม้จำเลยไม่ได้ต่อสู้ ศาลยกขึ้นเองได้
-เมื่อศาลยกเลิกการประนอมหนี้ต้องพิพากษาให้ล้มละลายจะย้อนกลับไปนำมาตรา 14 มาใช้บังคับไม่ได้
-โจทก์ เคยยื่นคำขอรับชำระหนี้แต่เกินกำหนด ต่อมาศาลยกเลิกการล้มละลาย โจทก์นำหนี้มาฟ้องล้มละลายอีกไม่ได้ ถือเป็นเหตุอื่นไม่ควรให้ล้มละลายเนื่องจากเป็นการขยายเวลาให้ขอรับชำระหนี้
-เมื่อศาลพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วจึงไม่อาจอ้างเหตุก่อนพิทักษ์ ทรัพย์ขึ้นอ้างได้อีก ส่วน มาตรา 135(2) ต้องเป็นเหตุที่เกิดในภายหลัง เช่น ไม่มีเจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้
-คดีล้มละลายจำเลยฟ้องแย้งไม่ได้
-ฟ้องขอให้ล้มละลาย ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดได้ จำเลยตายก่อนศาลพิพากษา เช่นนี้ศาลสั่งให้จัดการทรัพย์มรดกได้ ตามมาตรา 87
-คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาอุทธรณ์ได้ทันที คำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่หลังจากศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาเช่นกัน
-คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดขอทุเลาการบังคับคดีไม่ได้ เนื่องจากเป็นสถานะของบุคคล
-การอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ไม่ชอบ ศาลเพิกถอนได้
-การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อใกล้ครบกำหนดเวลาบังคับคดีไม่ใช่การใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
-ผลการพิทักษ์ทรัพย์ มาตรา 15
-ต้องจำหน่ายคดีอื่นที่ฟ้องให้ล้มละลายไว้แล้ว
-พิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว
-ศาลสั่งได้เฉพาะการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นเท่านั้น
-ใช้ ปวิพ. มาตรา 254 ไม่ได้ เช่น ขอให้ยึดทรัพย์ระหว่างดำเนินคดีไม่ได้ แต่ขอคุ้มครองประโยชน์ตามมาตรา 264 ได้ เช่น ขอให้งดปล่อยทรัพย์
-ศาลต้องไต่สวนเป็นคดีฝ่ายเดียว ถ้าศาลเห็นว่าคดีมีมูลที่จะพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายได้ ก็สั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวได้
-การพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวไม่ทำให้ขาดจากการเป็นลูกจ้างนายจ้าง ลูกจ้างขอรับเงินชดเชยตามกฎหมายไม่ได้
-ผลการพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว ให้อำนาจ จพท. จัดการทรัพย์สิน แต่เจ้าหนี้ไม่ต้องขอรับชำระหนี้
-ผลของคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์
-รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้
-ทรัพย์ต้องเป็นของลูกหนี้ ถ้าโอนไปเป็นของผู้อื่นแล้ว ต้องเพิกถอนการโอน
-สิทธิ ของลูกหนี้ที่เป็นเจ้าหนี้บุคคลภายนอก และบุคคลภายนอกมีสิทธิเรียกร้องกับบุคคลอื่น ดังนี้ จพท. เรียกให้บุคคลอื่นชำระหนี้ไม่ได้ ต้องใช้วิธีอายัดสิทธิเรียกร้องตาม ปวิพ.
-ลูกหนี้ได้ชำระหนี้เต็มจำนวน ศาลยกเลิกการล้มละลาย จพท. หมดอำนาจทั้งปวง
-ทรัพย์ของเจ้าของรวมเมื่อแยกการครอบครองเป็นสัดส่วนแล้ว ก็ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ได้
-จัดการทรัพย์สินของลูกหนี้
-เมื่อจำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ไม่มีอำนาจทำสัญญายอม จพท. เท่านั้นที่มีอำนาจ
-สิทธิดำเนินคดีอาญา แม้ว่าจะเกี่ยวกับทรัพย์สิน ลูกหนี้ยังคงมีอำนาจดำเนินคดีต่อไปได้ แม้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
-จพท. มีอำนาจจัดการเฉพาะทรัพย์สินของลูกหนี้เท่านั้น เช่น หุ้นส่วนถูกพิทักษ์ทรัพย์ จพท.จะจัดการห้างฯ ไม่ได้
-สิทธิการเช่า แม้เป็นสิทธิเฉพาะตัว เมื่อผู้ให้เช่ายินยอม จพท. ยึดและขายทอดตลาดสิทธิการเช่าได้
-นิติกรรมที่ลูกหนี้ทำภายหลังศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว เป็นโมฆะ จพท. ต้องฟ้องเพิกถอนเป็นคดีใหม่
-เมื่อศาลยกเลิกการล้มละลายแล้ว จพท. ไม่มีอำนาจดำเนินคดีต่อไป ศาลต้องจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
-เจ้า หนี้ผู้เป็นโจทก์นำยึดต้องเสียค่าถอนการยึดแต่เจ้าหนี้ธรรมดาไม่ต้องเสียค่า ถอนการยึด เพราะถือว่า จพท. ใช้ดุลพินิจในการยึดทรัพย์ตามคำแนะนำของเจ้าหนี้เท่านั้น
-ทรัพย์สิน ของลูกหนี้ พิจารณาทางทะเบียน ข้ออ้างว่า ถือที่ดินแทนจะมอบอำนาจให้โอนกลับเป็นของตนไม่ได้ แต่ทะเบียนรถยนต์ไม่ใช่ทะเบียนกรรมสิทธิ์ จึงโอนกลับให้แก่เจ้าของได้
-จพท. เลิกจ้างพนักงาน ลูกหนี้ฟ้อง จพท. เป็นจำเลยคดีใหม่ได้ โดย จพท. มีหน้าที่เอาเงินที่ได้จากทรัพย์ของลูกหนี้นำมาชำระ
-จพท. เพียงผู้เดียวมีอำนาจรวบรวมทรัพย์ คำสั่งในคดีแพ่งใช้ยันไม่ได้ โดยเจ้าหนี้ในคดีแพ่งจะขอคุ้มครองชั่วคราวไม่ได้
-บุคคล ภายนอกต้องชำระเงินแต่ จพท. จะชำระหนี้กับลูกหนี้ไม่ได้ การชำระหนี้ไม่ชอบ จพท. จะบังคับให้ผู้รับเงินคืนเงินไม่ได้ ต้องบังคับแก่บุคคลภายนอกซึ่งเป็นผู้จ่ายเงิน
-เงินที่ลูกหนี้ไม่มีสิทธิได้รับ จพท. ไม่มีอำนาจรับ เช่น เงินบำนาญของข้าราชการ ซึ่งต่อมาข้าราชการผู้นั้นถูกไล่ออก
-การ ต่อสู้คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ ถ้าไม่เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ ก็ฟ้องลูกหนี้โดยตรง เช่น ฟ้องกองมรดกโดยมีลูกหนี้ในฐานะทายาทของเจ้ามรดก
-อำนาจเป็นของ จพท. แม้ที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติไม่ให้สู้คดีแทน ลูกหนี้ก็ไม่มีอำนาจดำเนินคดีแทนไม่ว่าชั้นพิจารณาหรือชั้นบังคับคดี เช่น ขอพิจารณาคดีใหม่, การอุทธรณ์คดี, คัดค้านการขายทอดตลาด ก็ทำไม่ได้ ลูกหนี้ไปทำสัญญายอมหลังถูกพิทักษ์ทรัพย์นั้นไม่ชอบแม้บุคคลภายนอกสุจริตก็ ตาม
-จำเลยมีอำนาจดำเนินคดีในล้มละลายไม่ว่าชั้นพิจารณาหรือชั้นบังคับคดี เช่น คัดค้านการขายทอดตลาดในคดีที่เจ้าพนักงานบังคับคดี
ขายทอดตลาดแทน จพท., ร้องขอพิจารณาคดีใหม่ให้เพิกถอนคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์
-ลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์แล้วเจ้าหนี้ไม่มีอำนาจฟ้องเป็นคดีแพ่งอีกไม่ว่าภายหลังศาลจะมีคำสั่งให้พิจารณาคดีล้มละลายใหม่ก็ตาม
-เจ้าหนี้ที่ไม่อาจขอรับชำระหนี้ได้ ต้องฟ้อง จพท. เป็นจำเลย จะฟ้องลูกหนี้ไม่ได้ เช่น ฟ้องให้ลูกหนี้โอนที่ดิน
-บุคคลล้มละลายทำการจำนองที่ดินแก่บุคคลอื่น นิติกรรมเป็นโมฆะ ผู้รับจำนองต้องฟ้องลูกหนี้เป็นจำเลย จะฟ้อง จพท. ไม่ได้
-จพท. มีอำนาจยกอายุความเป็นเหตุยกคำขอรับชำระหนี้ได้
-จพท.จัดการเฉพาะลูกหนี้ที่ล้มละลายไม่รวมบุคคลอื่น เช่น ความรับผิดของผู้ประกัน
-ลูกหนี้ มีอำนาจดำเนินคดีล้มละลายได้ เช่น อุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ คำสั่งเกี่ยวกับคำขอรับชำระหนี้ โดยสามารถจ่ายค่าใช้จ่ายตามคำสั่งศาลได้ เช่น ค่านำหมาย
-หนี้เกิดภายหลังศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว เจ้าหนี้ฟ้อง จพท. ได้ แต่ไม่มีสิทธิได้รับเงินจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ โดยได้เฉพาะทรัพย์สินใหม่
-การสู้คดีเป็นอำนาจของ จพท. เมื่อ จพท. สละข้อต่อสู้แล้ว จำเลยยกข้อต่อสู้และนำสืบไม่ได้
-เงินเดือนข้าราชการที่แยกไม่ปะปนกับเงินอื่น ไม่อยู่ในบังคับคดี ตาม ปวิพ. มาตรา 286(2)
-ลูกหนี้กระทำการเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนไม่ได้ มาตรา 24
-นิติกรรม ที่ทำก่อนศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ต้องเพิกถอนการโอน ส่วนทำภายหลังนิติกรรมเป็นโมฆะ หนี้ตามเช็คจึงไม่มีมูล จำเลยจึงไม่ผิดตาม พรบ.เช็ค
-จำเลยต่อสู้ในคดีล้มละลายได้รวมทั้งชั้นบังคับคดี ศาลสั่งให้จ่ายค่านำหมายถือว่าได้รับอนุญาตจากศาล จำเลยย่อมจ่ายได้
ที่มา http://www.buddhakhun.org/main//index.php?topic=2948.0
|
|
โดย : Administrator วัน-เวลา : 26 พฤศจิกายน 2553 | 12:22:36 From ip : 183.89.194.109 |