พนักงานบริษัท เอกชน และ รัฐวิสาหกิจ สามารถอายัดได้ ยกเว้นข้าราชการ ที่อายัดไม่ได้ เพราะว่าเงินเดือนใช้งบประมาณแผ่นดิน ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ หรือลูกจ้างในหน่วยราชการ ไม่สามารถอายัดเงินเดือน ฯ ได้ เป็นไปตาม
ปวิพ.มาตรา 286 ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่น เงินหรือสิทธิเรียกร้องเป็นเงินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อไปนี้ ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
(1) เบี้ยเลี้ยงชีพซึ่งกฎหมายกำ หนดไว้และเงินรายได้เป็นคราว ๆ อันบุคคลภายนอกได้ยกให้เพื่อเลี้ยงชีพ เป็นจำนวนรวมกันไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทหรือตามจำนวนที่ศาลเห็นสมควร
(2) เงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญ บำเหน็จ เบี้ยหวัด หรือรายได้อื่นในลักษณะเดียวกันของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ หรือลูกจ้างในหน่วยราชการ และเงินสงเคราะห์ บำนาญ หรือบำเหน็จที่หน่วยราชการได้จ่ายให้แก่คู่สมรสหรือญาติที่ยังมีชีวิตของบุคคลเหล่านั้น
(3) เงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญ ค่าชดใช้ เงินสงเคราะห์ หรือรายได้อื่นในลักษณะเดียวกันของพนักงาน ลูกจ้าง หรือคนงาน นอกจากที่กล่าวไว้ใน (2) ที่นายจ้างจ่ายให้แก่บุคคลเหล่านั้น หรือคู่สมรส หรือญาติที่ยังมีชีวิตของบุคคลเหล่านั้น เป็นจำนวนรวมกันไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท หรือตามจำนวนที่ศาลเห็นสมควร.....
เงินเดือนข้าราชการไม่อยู่ในข่ายแห่งการบังคับคดี ดังนั้นหากดำเนินการไปโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายก็คัดค้านไปยังสำนักงานบังคับคดีได้
พ.ร.บ.เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ.2538 มาตรา 12 วรรคสาม บัญญัติไว้ว่า เงินประจำตำแหน่งไม่ถือเป็นเงินเดือน ดังนั้น เงินประจำตำแหน่งของข้าราชการจึงมิใช่เงินเดือนในความหมายของเงินเดือนของข้าราชการหรือลูกจ้างของรัฐบาล ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 286 (2) โจทก์ย่อมบังคับคดีได้
บังคับคดีสามารถจะอายัดเงินเดือนได้
1. ถ้าลูกหนี้เป็นข้าราชการ/ลูกจ้างประจำของข้าราชการจะอายัดเงินเดือนไม่ได้
ถ้าลูกหนี้เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง หรือเป็นพนักงานบริษัท ฯลฯ สามารถอายัดเงินเดือน
การอายัดเงินเดือนค่าจ้าง ของกรมบังคับคดีมีหลักเกณฑ์ดังนี้
1. เงินเดือนค่าจ้าง อายัดไม่เกิน 30 % โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
1.1. ลูกหนี้เงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาท --- ห้ามไม่ให้อายัด
1.2. ลูกหนี้ที่มีเงินเดือนค่าจ้างเกิน 10,000 บาท สามรถอายัดได้ไม่เกิน 30 %
แต่จะต้องเหลือเงินให้ลูกหนี้ใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท เช่น
- ลูกหนี้เงินเดือน 9500 บาท ไม่สามารถอายัดได้
- ลูกหนี้เงินเดือน12000 บาท จะอายัดได้ 2000 บาท เพราะต้องเหลือไว้ใช้จ่าย 10000 บาท
- ลูกหนี้เงินเดือน 15000 บาท จะอายัดได้ 4500 บาท เพราะต้องเหลือไว้ใช้จ่าย 10500 บาท
1.3. หากลูกหนี้มีค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ เช่น ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ
สามารถนำหลักฐานไปขอลดหย่อนที่กรมบังคับคดีเพื่อให้ลดเปอร์เซ็นต์การอายัดเงินเดือนได้
1.4. การอายัดเงินเดือนจะให้บริษัทนำส่งหรือลูกหนี้นำส่งกรมบังคับคดีเองก็ได้
2. เงินโบนัส จะถูกอายัด 50 %
3. เงินตอบแทนการออกจากงาน จะถูกอายัด 100 %
4. เงินค่าตอบแทนหรือค่าสวัสดิการต่างๆ เช่น ค่าน้ำมัน ค่าที่พัก ค่าน้ำ ค่าไฟ
ค่าตำแหน่ง การถูกอายัดจะขึ้นอยู่กับว่าเจ้าหนี้จะสืบทราบหรือไม่
และเจ้าหนี้ร้องขอต่อศาลว่าจะอายัดเท่าไหร่
5. บัญชีเงินฝาก ---อายัดได้
6. เงิน กบข.และเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ทำกับบริษัท --- อายัดไม่ได้
7. ถ้าทำกองทุนต่างๆกับธนาคารต้องดูตามหลักเกณฑ์ของกองทุนว่าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้หรือไม่
และมีข้อห้ามการบังคับคดีหรือไม่ ถ้าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้และไม่มีข้อห้ามก็จะอายัดได้
8. เงินค่าวิทยะฐานะ (ค่าตำแหน่งทางวิชาการ) มีหลักเกณฑ์ดังนี้
8.1. ถ้าเป็นข้าราชการจะไม่ถูกอายัด
8.2. ถ้าเป็นสังกัดเอกชนจะถูกอายัด เพราะถือว่าเป็นเงินเดือน
9. หุ้น ---กรมบังคับคดีสามารถยึดใบหุ้นเพื่อขายทอดตลาดได้ หรือถ้ามีเงินปันผล
ก็จะทำเรื่องอายัดเงินปันผลได้
10. เงินสหกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือพนักงานบริษัท เจ้าหนี้สืบสามารถอายัดเงินปันผล
เงินเฉลี่ยคืน เงินค่าหุ้นสหกรณ์ได้
11. ถ้าลูกหนี้ร่วมทุนกับผู้อื่นเปิดบริษัท ห้างร้าน กรมบังคับคดีจะอายัดเฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์สินของผู้ถูก
อายัดเท่านั้น จะอายัดส่วนของผู้อื่นไม่ได้ โดยอาจดูเฉพาะส่วนของเงินปันผล ใบหุ้น ฯลฯ ของผู้ถูกอายัด
ลูกหนี้จะต้องปฏิบัติ เมื่อศาลตัดสินแล้ว
ลูกหนี้จะต้องติดต่อทนายโจทก์เพื่อตกลงกันว่าจะมีการจ่ายชำระหนี้ตามคำพิพากษาอย่างไร เช่น
จะผ่อนชำระเป็นงวดๆ หรือจ่ายงวดเดียว
หากลูกหนี้ไม่ติดต่อไป ไม่ยอมจ่ายเงิน หรือตกลงเรื่องการจ่ายเงินไม่ได้
ทนายโจทก์ก็จะทำเรื่องขอยึดทรัพย์หรืออายัดเงินเดือน ไปที่สำนักงานบังคับคดี
สิ่งสำคัญที่ลูกหนี้ทั้งหลายจำไว้
1. หากเจ้าหนี้รายแรกขออายัดเงินเดือนแล้ว เจ้าหนี้รายที่สอง สาม สี่...จะทำเรื่องขออายัดซ้ำไม่ได้ ต้องรอคิวจนกว่ารายแรกชำระหนี้จนครบก่อน
2. เจ้าหนี้รายที่สอง สาม สี่...จะขอหารส่วนแบ่งเงินที่ถูกอายัดจากเจ้าหนี้รายแรกก็ได้ เพราะถ้ารอเกินสิบปีก็จะหมดอายุความ หมดสิทธิเรียกชำระหนี้
สิ่งลูกหนี้จะต้องปฏิบัติ กรณีเจ้าหนี้รายที่สอง สาม สี่ .....ขออายัดซ้ำ
เมื่อ ได้รับหนังสือจากสำนักงานบังคับคดีของเจ้าหนี้รายที่สอง สาม สี่ ..... ลูกหนี้จะต้องนำหนังสือจากสำนักงานบังคับคดีของเจ้าหนี้รายแรกไปยื่นที่ สำนักงานบังคับคดีของเจ้าหนี้รายที่สอง สาม สี่ ...ที่ออกหนังสือมานั้น เพื่อแจ้งขอระงับอายัดเงินเดือนไว้ก่อนเป็นคิวถัดไป นอกจากนี้อย่าลืมดูข้อ 1.3 ด้วย
ส่วน ของฝากสำหรับเจ้าหนี้ที่คิดอกเบี้ยเกินกฎหมายกำหนด ลูกหนี้สามารถรวมตัวกันยื่นฟ้องศาล ท่านจะมีโทษติดคุก ส่วนลูกหนี้ก็จะชำระเฉพาะเงินต้นเท่านั้น
มาตรา 286 ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่น เงินหรือสิทธิเรียกร้องเป็นเงินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อไปนี้ ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
(1) เบี้ยเลี้ยงชีพซึ่งกฎหมายกำ หนดไว้และเงินรายได้เป็นคราว ๆ อันบุคคลภายนอกได้ยกให้เพื่อเลี้ยงชีพ เป็นจำนวนรวมกันไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทหรือตามจำนวนที่ศาลเห็นสมควร
(2) เงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญ บำเหน็จ เบี้ยหวัด หรือรายได้อื่นในลักษณะเดียวกันของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ หรือลูกจ้างในหน่วยราชการ และเงินสงเคราะห์ บำนาญ หรือบำเหน็จที่หน่วยราชการได้จ่ายให้แก่คู่สมรสหรือญาติที่ยังมีชีวิตของบุคคลเหล่านั้น
(3) เงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญ ค่าชดใช้ เงินสงเคราะห์ หรือรายได้อื่นในลักษณะเดียวกันของพนักงาน ลูกจ้าง หรือคนงาน นอกจากที่กล่าวไว้ใน (2) ที่นายจ้างจ่ายให้แก่บุคคลเหล่านั้น หรือคู่สมรส หรือญาติที่ยังมีชีวิตของบุคคลเหล่านั้น เป็นจำนวนรวมกันไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท หรือตามจำนวนที่ศาลเห็นสมควร.....
เงินเดือนข้าราชการไม่อยู่ในข่ายแห่งการบังคับคดี ดังนั้นหากดำเนินการไปโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายก็คัดค้านไปยังสำนักงานบังคับคดีได้
เงินขวัญถุงที่ข้าราชการได้รับจำนวน 7 เท่า ของเงินเดือนตาม พ.ร.ฎ. เงินช่วยเหลือผู้ซึ่งลาออกจากราชการก่อนเกษียณอายุ พ.ศ. 2542 มาตรา 8 เป็นส่วนหนึ่งของเงินที่ทางราชการจ่ายเพื่อช่วยเหลือข้าราชการที่ลาออกก่อนเกษียณอายุราชการ ถือได้ว่าเป็นเงินบำเหน็จ ซึ่งไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 286 (2)
เนื่องจาก พ.ร.บ.เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ.2538 มาตรา 12 วรรคสาม บัญญัติไว้ว่า เงินประจำตำแหน่งไม่ถือเป็นเงินเดือน ดังนั้น เงินประจำตำแหน่งของข้าราชการจึงมิใช่เงินเดือนในความหมายของเงินเดือนของข้าราชการหรือลูกจ้างของรัฐบาล ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 286 (2) โจทก์ย่อมบังคับคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2795/2546
เนื่องจาก พ.ร.บ.เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ.2538 มาตรา 12 วรรคสาม บัญญัติไว้ว่า เงินประจำตำแหน่งไม่ถือเป็นเงินเดือน ดังนั้น เงินประจำตำแหน่งของข้าราชการจึงมิใช่เงินเดือนในความหมายของเงินเดือนของข้าราชการหรือลูกจ้างของรัฐบาล ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 286 (2) โจทก์ย่อมบังคับคดีได้
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 148,223.50 บาท ตามสัญญากู้ยืมและสัญญาค้ำประกันแก่โจทก์ ต่อมาโจทก์และจำเลยทั้งสามทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลได้พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ จำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ขอให้บังคับคดี ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดและอายัดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสาม เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งอายัดเงินประจำตำแหน่งของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นข้าราชการพลเรือน สังกัดทบวงมหาวิทยาลัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ ระดับ 8 ได้รับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งจากเงินงบประมาณ หมวดเงินเดือนและค่าจ้างประจำ เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินประจำตำแหน่งของจำเลยที่ 2 อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ลักษณะ 2 การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง เนื่องจากเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการเป็นเงินเดือนหรือค่าตอบแทนส่วนหนึ่งของเงินเดือน จึงไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 286 (2) ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่อายัดเงินประจำตำแหน่งของจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เงินประจำตำแหน่งของจำเลยที่ 2 อยู่ในความหมายของเงินเดือนของข้าราชการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 286 (2) ซึ่งไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี จึงให้เพิกถอนคำสั่งอายัดเงินประจำตำแหน่งของจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เงินประจำตำแหน่งของจำเลยที่ 2 อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีหรือไม่ เห็นว่า คำว่าเงินประจำตำแหน่งนั้น ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการการจ่ายเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ พ.ศ.2539 มาตรา 3 หมายความว่า เงินประจำตำแหน่งตามกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งซึ่งกฎหมายที่ว่านี้ก็คือพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ.2538 โดยมาตรา 12 วรรคสาม ของพระราชบัญญัติฉบับนี้บัญญัติไว้ชัดเจนว่า เงินประจำตำแหน่งไม่ถือเป็นเงินเดือน ดังนั้น เมื่อเงินประจำตำแหน่งไม่มีสภาพเป็นเงินเดือน จึงไม่อยู่ในความหมายของเงินเดือนของข้าราชการตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 286 (2) อันจะไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี โจทก์ย่อมบังคับเอาจากเงินประจำตำแหน่งของจำเลยที่ 2 ได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งอายัดเงินประจำตำแหน่งของจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่อายัดเงินประจำตำแหน่งของจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 เสียค่าธรรมเนียมศาลไม่ครบจึงเป็นคำขอที่ไม่ชอบนั้น เห็นว่า การร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่อายัดเงินประจำตำแหน่งของจำเลยที่ 2 เป็นคำขอเพื่อให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการบังคับที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะ 2 การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง ซึ่งต้องทำเป็นคำร้องและต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลตามตาราง 2 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ (3) เป็นค่าคำร้องเป็นเงิน 20 บาท และข้อ (7) เป็นค่าคำสั่งอีกเป็นเงิน 50 บาท โดยต้องชำระเมื่อยื่นคำขอต่อศาล เมื่อจำเลยที่ 2 ยื่นคำขอโดยเสียค่าธรรมเนียมศาล 20 บาท และพนักงานศาลระบุว่าเป็น "ค่าคำร้อง" ตามที่พนักงานศาลเรียกให้เสีย แม้จำเลยที่ 2 มิได้เสียค่าคำสั่งเป็นเงิน 50 บาท อันเป็นการเสียค่าธรรมเนียมศาลไม่ครบ แต่ศาลชั้นต้นรับคำร้องของจำเลยที่ 2 และมีคำสั่งชี้ขาดแล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 จงใจหลีกเลี่ยงไม่ยอมเสียค่าธรรมเนียมศาลซึ่งขาดอยู่เพียง 50 บาท ให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด จึงเห็นสมควรให้โอกาสจำเลยที่ 2 เสียค่าธรรมเนียมศาลให้ครบตามตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ.
( สดศรี สัตยธรรม - วิรัช ลิ้มวิชัย - มานะ ศุภวิริยกุล )