คดีนั้นเจ้าหนี้ฟ้องสามีโดยได้นำยึดทรัพย์สินซึ่งเป็นสินสมรสที่สามีและภริยามีกรรมส ิทธิ์ร่วมกัน ฝ่ายภริยามาร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่เจ้าหนี้นำยึด โดยอ้างว่าได้จด ทะเบียนหย่ากันแล้ว ทรัพย์สินที่เจ้าหนี้นำยึดจึงไม่ใช่สินสมรส ขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยทรัพย์ที่นำยึด ซึ่งศาลได้วินิจฉัยว่าผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องขอให้ปล่อยทรัพย์
หรือคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2353/2536 หย่ากันโดยยกบ้านและที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสแก่ภริยาอันเป็นการสมยอมเพื่อหลีกเลี่ยงมิ ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ ที่ดินและบ้านพิพาทจึงไม่ตกแก่ภริยาเพียงผู้เดียว เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติ กรรมการยกทรัพย์ที่เป็นสินสมรสที่ให้เป็นของภริยาผู้เดียวได้ ดังนั้นการหย่ากันแล้วยังอยู่ด้วยกันและใช้ชีวิตอย่างปกติสุขฉันสามีภริยา ก็เป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งที่เจ้าหนี้จะนำสืบพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าเป็นการสมยอมกัน หย่าเพื่อหนีหนี้ มิได้ตกลงที่จะจดทะเบียนหย่ากันจริง ๆ.
----------------------------------------------
การที่สามีภริยาหย่ากันและได้แบ่งทรัพย์สินกันแล้วด้วย แต่ปรากฏว่าที่จริงแล้วยังมีทรัพย์สินอีกหลายรายการที่ไม่ได้นำมาแบ่งกันในตอนหย่า รวมทั้งที่ดินแปลงหนึ่ง ซึ่งเพิ่งทราบเมื่อได้มีการขายให้คนอื่น อยากทราบว่าจะฟ้องเอาทรัพย์สินนั้นมาแบ่งกันอีกได้หรือไม่
การมีอยู่ของสินสมรสที่จะนำมาแบ่งให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากันเมื่อคู่สมรสหย่ากันนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1532 กำหนดไว้ว่า เมื่อหย่ากันแล้วให้จัดการแบ่งทรัพย์สินของสามีภริยา ดังนี้
(ก) ถ้าเป็นการหย่ากันโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย ให้จัดการแบ่งทรัพย์สิน ของสามีภริยาตามที่มีอยู่ในเวลาจดทะเบียนการหย่า
(ข) ถ้าเป็นการหย่าโดยคำพิพากษาของศาล คำพิพากษาส่วนที่บังคับทรัพย์สินระหว่างสามีภริยานั้นมีผลย้อนหลังไปถึงวันฟ้องหย่า
ถ้าเป็นสินสมรสถึงหย่ากันไปแล้ว ก็ยังนำมาแบ่งกันได้อีก ตัวอย่างคดีที่มีการฟ้องร้องและผลของคำพิพากษา เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 1254/2538 ตัดสินว่า การที่โจทก์ฟ้องขอหย่าขาดกับจำเลยและจำเลยสมัครใจหย่าขาดกับโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดกันได้เป็นยุติแล้วนั้น เมื่อโจทก์ได้ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งสินสมรส โดยสินสมรสบางรายการจำเลยจำหน่ายไปแล้วและบางรายการยังมีอยู่
เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยนำหรือจะนำไปใช้ในกิจการที่จำเลยกับโจทก์กระทำร่วมกันหรือนำไป ชำระหนี้ที่โจทก์กับจำเลยร่วมกันก่อให้เกิดขึ้นแก่ผู้ใด ทั้งจำเลยจำหน่ายสินสมรสไปในระหว่างที่โจทก์มิได้อาศัยอยู่กับจำเลย เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าจำเลยจำหน่ายสินสมรสไปเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียวและมิได้รับความยินยอมจ ากโจทก์ ย่อมถือเสมือนว่าทรัพย์สินนั้นยังคงมีอยู่เพื่อจัดแบ่งสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งแล ะพาณิชย์ มาตรา 1534 โจทก์มีสิทธิขอแบ่งสินสมรสส่วนนี้ได้ครึ่งหนึ่ง
ถ้าทรัพย์สินนั้นต่อมาได้มีการขายต่อให้ผู้อื่น ลองดูผลของคำพิพากษาที่ศาลได้เคยตัดสินไว้ในคดีตามคำพิพากษาฎีกาที่ 4561/2544 ว่า ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนหย่าโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ต้องแบ่งสินสมรสคนละส่วนเท่ากันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533 แต่เมื่อยังมิได้แบ่งกันจึงต้องบังคับตามบทบัญญัติว่าด้วยกรรมสิทธิ์ ถือว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรวมมีส่วนเท่ากัน
การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของรวมทำสัญญาขายที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์ไม่ทราบเรื่องและไม่ได้ให้ความยินยอมด้วย แม้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาดังกล่าวกับจำเลยที่ 1 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน สัญญาดังกล่าวก็ไม่มีผลผูกพันกรรมสิทธิ์ส่วนของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคสอง แต่ยังคงมีผลผูกพันกรรมสิทธิ์ในส่วนของจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 1362 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองเฉพาะในส่วนเกี ่ยวข้องกับกรรมสิทธิ์ของโจทก์ได้.
|