TV Online ทุกวันเวลา ๑๐.๐๐-๒๒.๐๐ น.

 ชมรมคนปลดหนี้ & ล้มบนกองฟูก
- ต้องการให้ช่วยแก้ปัญหาหนี้ ถูกทวงหนี้ นายจ้างเอาเปรียบ ถูกให้ออกจากงาน อยากล้มบนกองฟูก
- เราจะช่วยท่านปลดหนี้(ชักดาบ)ตามวิธีทางกฎหมาย

หนี้ บัตรเครดิต แก้ปัญหาหนี้ ชมรมปลดหนี้ ถูกทวงหนี้
  หน้าเว็บหลัก      หน้าหลักบอร์ด      ตั้งคำถาม      ค้นหา      สมัครเข้าชมรมคนปลดหนี้   
สมาชิกบอร์ด ออนไลน์ 23 ท่าน  
:: สมาชิกเข้าระบบ | ชื่อเข้าระบบ :: รหัสผ่าน :
:: ผู้ดูแลระบบ เฉพาะเจ้าหน้าที่ดูแลระบบเท่านั้น
ร่วมแสดงความคิดเห็นในหัวข้อ ย้อนกลับ | ถัดไป
  • ความหมายของ “คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา” เรียกร้องค่าเสียหายมาตรา 44/1
    ความหมายของ “คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา”
    ความหมายของ “คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา”


             ตำราทางกฎหมายได้ให้ความหมายของ“คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา”ไว้ว่า หมายถึง “คดีแพ่งที่ฟ้องบังคับตามสิทธิเรียกร้องอันมีมูลฐานความรับผิดเนื่องมาจากการกระทำความผิดทางอาญา” กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือหากมูลเหตุของการกระทำผิดอาญาใดทำให้ผู้กระทำนั้นต้องรับผิดในทางแพ่งด้วย ก็จะเรียกคดีแพ่งดังกล่าวว่าเป็น“คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา” ขอยกตัวอย่างเพิ่มเติมดังนี้ นายดำทำการลักทรัพย์นายขาวไป นายดำมีความผิดทางอาญาฐานลักทรัพย์ และขณะเดียวกันก็ถือว่าทำละเมิดในทางแพ่งด้วยโดยต้องคืนทรัพย์หรือต้องใช้ราคาทรัพย์ในแก่ผู้เสียหาย คดีละเมิดดังกล่าวนี้ถือว่าเป็น“คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา”


    แล้วมีความแตกต่างจากคดีแพ่งธรรมดาอย่างไร?

             กฎหมายได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา(ป.วิ.อ.) มาตรา 40 ถึงมาตรา51 ซึ่งมีรายละเอียดมากและยากแก่การทำความเข้าใจโดยเฉพาะผู้ที่ไม่ใช่นักกฎหมาย ผู้เขียนจึงขอสรุปสาระสำคัญโดยย่อดังนี้

             1.ผู้เสียหายสามารถฟ้องคดีแพ่งดังกล่าวได้ทั้งต่อ ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีแพ่งและศาลที่กำลัง

             พิจารณาคดีส่วนอาญาอยู่ (คดีแพ่งธรรมดา ปกติไม่สามารถฟ้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาได้)...ป.วิ.อ.มาตรา40

             2.กรณีอัยการเป็นโจทก์ฟ้องคดีส่วนอาญา ในบางฐานความผิดกฎหมายให้อำนาจอัยการมีสิทธิใน

             การเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคา(จากผู้กระทำผิด)แทนผู้เสียหายได้....ป.วิ.อ.มาตรา43

            3.กรณีอัยการเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา ผู้เสียหายมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาขอให้จำเลย ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนได้....ป.วิ.อ.มาตรา44/1.

             4.ในการพิจารณาและพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วน

             อาญา(ป.วิ.อ. มาตรา46) ข้อนี้เป็นข้อสำคัญและอาจก่อให้เกิดความสับสนได้มาก ผู้เขียนจึงแยกไป

            กล่าวให้ละเอียดในบทความเรื่อง “แพ้คดีอาญาแล้วต้องแพ้คดีแพ่งด้วยหรือ?”

             5.คดีแพ่งประเภทนี้อาจมีอายุความแตกต่างจากคดีแพ่งธรรมดา....ป.วิ.อ.มาตรา51

            ข้อสังเกต

             -ในคดีอาญาทั่วๆไป ผู้มีสิทธิเป็นโจทก์ฟ้องคดีคือ

            1) ผู้เสียหายเองและ

             2) อัยการ(ถือว่าอัยการฟ้องแทนผู้เสียหาย)

             -แม้ว่ามีการฟ้องคดีส่วนอาญาแล้ว ก็ไม่ตัดสิทธิในการฟ้องคดีส่วนแพ่ง (ป.วิ.อ. มาตรา45)

             -การพิจารณาว่าจำเลยต้องรับผิดในคดีแพ่งหรือไม่ ต้องใช้หลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายส่วนแพ่งได้บัญญัติไว้ ซึ่งอาจมีหลักเกณฑ์ที่แตกต่างจากกฎหมายอาญาก็ได้ ดังนั้นผลของคำพิพากษาของคดีส่วนแพ่งอาจไม่เหมือนกับคดีส่วนอาญาก็ได้ เช่น คดีอาญาศาลพิพากษายกฟ้อง(จำเลยชนะคดี) แต่คดีส่วนแพ่งศาลอาจพิพากษาให้จำเลยแพ้ก็ได้ หรือในทางกลับกันแม้จำเลยจะแพ้คดีส่วนอาญา แต่ก็อาจชนะในคดีส่วนแพ่งได้

            คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา หมายถึงคดีที่มีการกระทำผิดกฎหมายซึ่งผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายเพื่อทดแทนความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิด โดยผู้เสียหายอาจยื่นฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาต่อศาลที่มีอำนาจชำระคดีแพ่งต่างหากจากคดีอาญา หรือต่อศาลที่กำลังพิจารณาคดีอาญานั้นอยู่ หรืออาจมีการยื่นฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาโดยพนักงานอัยการเป็นผู้ร้องแทนผู้เสียหายต่อศาลที่รับฟ้องคดีอาญาเพื่อสั่งคืนหรือสั่งให้ใช้ราคาทรัพย์ก็ได้

            การพิจารณาคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาต้องปฏิบัติตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยศาลอาจมีคำสั่งให้แยกคดีส่วนแพ่งออกพิจารณาต่างหากจากคดีส่วนอาญาก็ได้

            การพิพากษาคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาต้องถือข้อเท็จจริงที่ได้ความจากการพิจารณาคดีส่วนอาญา โดยศาลจะต้องวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามกฎหมายส่วนแพ่ง

            อายุความการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในกรณีที่ไม่มีการฟ้องคดีส่วนอาญา ถือตามอายุความการฟ้องคดีส่วนอาญา และจะสะดุดหยุดลงเมื่อได้มีการฟ้องคดีส่วนอาญาจนกว่าจะมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาด ในกรณีที่ศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดให้ลงโทษจำเลยแล้ว จะถืออายุความ 10 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา แต่ถ้าศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดให้ยกฟ้อง จะถืออายุความเหมือนคดีแพ่งทั่วๆไป

    -------------------------------------

    http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php

    ------------------------------------


    โดย : Administrator วัน-เวลา : 18 เมษายน 2554 | 16:57:50   From ip : 183.89.249.217

     ความคิดเห็นที่ : 1
  • คดีแพ่งต่อเนื่องคดีอาญา (มาตรา 40 – 51)

    -         คือ ความรับผิดทางแพ่งที่มีมูลมากการกระทำผิดในทางอาญา

    -         ฟ้องที่ศาลที่พิจารณาคดีอาญาหรือศาลที่มีอำนาจชำระคดีแพ่งก็ได้

    -         การพิจารณาคดีแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติ ปวิพ. (ปวิพ.มาตรา 40 )

    -         คำให้การในส่วนแพ่ง ต้องแสดงให้แจ้งชัดว่ายอมรับหรือปฏิเสธ รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น

     

     

    ฎ. 5713/2539

              คำให้การในส่วนแพ่งนั้นต้องชอบด้วย  ปวิพ. มาตรา 177 วรรคสอง เมื่อจำเลยให้การต่อสู้คดีส่วนอาญาและคดีส่วนแพ่งรวมกันมาว่าจำเลย ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งสิ้นเท่านั้น

    ถือว่า คำให้การในส่วนแพ่งของจำเลยให้การปฏิเสธลอยๆ จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์พิพาทและจำเลยซื้อรถยนต์พิพาทมาโดยสุจริตในท้องตลาด ตามที่จำเลยยกขึ้นอุทธรณ์แต่อย่างใด  คดีส่วนแพ่งของจำเลยจึงต้องห้ามอุทธรณ์ ตาม ปวิพ. มาตรา 225

     ( ถือว่าไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้น)

     

    ฎ. 607/2536

            จำเลยไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ในคดีแพ่ง ถือว่าไม่มีประเด็นดังกล่าว

    ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น

     

    ฎ. 3906/2536

              -ถ้าจำเลยมีสิทธิยื่นคำให้การในวันนัดสืบพยานโจทก์ได้ โดยไม่ต้องยื่นคำให้การแก้คดีภายใน 15 วัน นับแต่ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้แก่จำเลย

              -และถือได้ว่าจำเลยยื่นคำให้การในคดีส่วนแพ่งในวันนั้นด้วยแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ

     

    ฎ. 1916/2547

            -คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา เมื่อสิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องระงับไป คำขอในส่วนแพ่งย่อมตกไปด้วย ศาลต้องจำหน่ายคดี

              - ปวิอ. มาตรา 43 มิได้บัญญัติให้อำนาจอัยการที่ยื่นฟ้องคดีอาญาในความผิดอาญาฐานร่วมกันหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางานในต่างประเทศได้ ให้เรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายได้

     

    ฎ. 1547/2529    (คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง)

              จำเลยถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับ ตามปวิอ. 39(1) 

    มีผลทำให้   คดีศาลล่างระงับไปในตัว ศาลฎีกาต้องมีคำสั่งจำหน่ายคดี

    -         เมื่อจำเลยตายมีผลทำให้คำพิพากษาของศาลล่างในส่วนให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ระงับไปด้วย

     

    ฎ. 1238/2493

              ถ้าผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีเอง  (ในคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา) เมื่อจำเลยตาย

    คดีในส่วนแพ่ง ก็ต้องมีการรับมรดกความตาม ปวิพ. มาตรา 42

     

     

    ฎ. 1881/2519

            ศาลสั่งไม่ประทับฟ้อง  จำเลยไม่อยู่ในฐานะจำเลย หมายถึง คดีในส่วนอาญาเท่านั้น

    แต่ในคดีส่วนแพ่ง  ถือว่า ผู้ถูกฟ้องมีฐานะเป็นจำเลยแล้ว

     

    ฎ. 3548/2539

            -สิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกาในคดีส่วนแพ่งนั้น ต้องพิจารณาจากทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา ตามปวิพ. มาตรา 224  และ 248 แล้วแต่กรณี

            -ถ้าคดีส่วนแพ่งต้องห้ามอุทธรณ์หรือฎีกาในข้อเท็จจริง แต่คดีในส่วนอาญาไม่ต้องห้าม

    การรับฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่ง ก็ต้องถือ ตามข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาตาม ปวิอ. ม.46

     

    ฎ. 3050/2544

            การที่ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องคดีอาญาที่มีคำขอในส่วนแพ่ง แล้วยกฟ้องคดีอาญา

    ก็ไม่อาจรับคดีส่วนแพ่งไว้พิจารณาพิพากษาได้ ศาลต้องสั่งไม่รับคดีส่วนแพ่งและคืนค่าธรรมเนียมแก่โจทก์

     

     

                       การเรียกราทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหาย( มาตรา 43 ,44)

    หลัก   อัยการมีสิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหาย ในความผิด 9 ฐาน คือ

    ลัก – วิ่ง – ชิง – ปล้น – โจรสลัด – ฉ้อโกง – กรรโชก – ยักยอก – รับของโจร

     

    -อัยการขอรวมไปพร้อมกับคดีอาญาหรือยื่นคำร้องระหว่างคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น

    -คำพิพากษาให้รวมเป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญา

     

    ฎ. 631/2511

            ความผิดฐานยักยอก รวมถึง ความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอก ตามปอ. ม.147 ด้วย

     

    ฎ.392/2530

            ความผิดฐานฉ้อโกงไม่รวมความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ด้วย

     

    ฎ. 3793/2530

            โจทก์ฟ้องให้ลงโทษตาม ปอ. 147 ศาลพิพากษาว่าจำเลยผิด ปอ. 148

    โจทก์ไม่มีอำนาจขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์

     

    ฎ.  255/2543

            ในความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดทั้งสองบท

    แต่ให้ลงโทษบทหนัก  ศาลก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ได้

     

    ฎ. 3530/2543

            ความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลพิพากษาจำเลยมีความผิดที่ไม่ใช่ฐานความผิดตาม ปวิอ. มาตรา 43 และยกฟ้องฐานความผิดตามปวอ.ม. 43

    ผล     พนักงานอัยการโจทก์จึง ไม่มีอำนาจเรียกทรัพย์สิน หรือ ราคาแทนผู้เสียหายเพราะ ไม่ใช่ความผิดตามที่ระบุไว้ ตาม ปวอ.มาตรา 43

     

    ฎ. 476/2515

            บางกรณีอัยการไม่ได้ขอให้ลงโทษในฐานความผดที่ระบุไว้ ใน ปวอ. 43 แต่ตามคำฟ้องบรรยายความผิดตาม ม. 43  รวมอยู่ด้วย  (ฟ้องปอ. 288 , 289 แต่บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยมาด้วยว่า จำเลยยิงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่าเพื่อสะดวกในการลักทรัพย์และมีคำขอท้ายฟ้องบังคับให้จำเลยคืนทรัพย์)    ดังนี้    อัยการขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก้ผู้เสียหายได้

     

    ฎ. 378/2520

             ความผิดตาม  ปอ. 149 ฐานรับสินบน ซึ่งไม่เป็นความผิดตามมาตรา ปอ. 337 (ฐานกรรโชก)

    ผล      ทำให้อัยการเรียกหรือให้ใช้ราคาไม่ได้

     

    ฎ. 3282/2524

            อัยการมีสิทธิขอให้คืนทรัพย์หรือใช้ราคาเท่านั้น ดังนั้น ในคดีบุกรุกอัยการจะขอให้จำเลยออกจากที่พิพาทไม่ได้

     

    ฎ. 1051/2510

            ค่าแรงหรือค่าจ้างไม่ใช่ทรัพย์สินที่จะเรียกร้องคืน  แต่เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายชอบที่จะฟ้องร้องบังคับให้จำเลยใช้ในทางแพ่ง เพราะ มิใช่ทรัพย์สินที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลย

     

    ฎ. 942/2507

            เงินค่าไถ่ทรัพย์แทนผู้เสียหาย มิใช่ทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายเสียไป เนื่องจากการกระทำความผิดฐานรับของโจร

     

    ฎ. 2197/2516

            เงินค่าโรงแรม  ไม่ใช่ทรัพย์สินที่สูญเสียไปจากการกระทำความผิด

    ฎ. 40/2508(ป)

              ลักหนังสือสัญญาเงินกู้ไป ทรัพย์สินที่เสียไปคือ หนังสือสัญญาเงินกู้ไม่ใช่เงินตามสัญญากู้

     

    ฎ. 384/2519

            เงินที่คนร้ายได้จากการขายทรัพย์สินที่ปล้นมา มิใช่ทรัพย์สินที่ผู้เสียหายถูกปล้น

    ศาลสั่งคืนให้ผู้เสียหายไม่ได้

     

    ฎ. 3667/2542

            สมัครสมาคมฌาปนกิจ แจ้งว่าสุขภาพแข็งแรงความจริงเป็นมะเร็งและต่อมาตาย

    เงินสงเคราะห์ที่โจทก์ร่วมจ่ายไป เนื่องจากความตายของ บ. ไม่ใช่เกิดจากการหลอกลวงของจำเลย

    ผล   อัยการไม่มีอำนาจให้ใช้หรือคืนราคา

     

    ฎ. 5401/2542

            เงินค่าตั๋วเครื่องบินที่สูญเสียไป จึงเป็นเงินที่เกิดจากการหลอกลวงของจำเลย

    ผู้เสียหายย่อมมีสิทธิจะเรียกค่าตั๋วเครื่องบินคืนจากจำเลย

     

    ฎ. 772/2520 ( ป )

              สลากกินแบ่งที่ถูกรางวัล เมื่อจำเลยนำไปรับเงิน ผู้เสียหายย่อมหมดโอกาสที่จะได้รับรางวัลเท่ากับต้องสูญเสียเงินจำนวนดังกล่าวไป  เนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยโดยตรง

    อัยการจึงมีสิทธิขอให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายได้

     

    ฎ. 2392/2541

            จำเลยหลอกผู้เสียหายนำที่ดินทำสัญญาจำนอง 450,000 บาท ผลของการหลอกลวงทำให้ผู้เสียหายตกเป็นหนี้แก่ผู้รับจำนองในจำนวนดังกล่าวเท่านั้น ไม่ได้ทำให้ผู้เสียหายต้องสูญเสียเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยไป อัยการจึงไม่อาจเรียกให้จำเลยใช้เงินดังกล่าวแก่ผู้เสียหาย ตาม ปวิอ. ม. 43 ได้

    เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องไปฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองในทางแพ่งเอง

     

    ฎ. 1976-1977  (ป)

              อัยการมีสิทธิเรียกได้เฉพาะทรัพย์หรือราคาเท่านั้น จะเรียกดอกเบี้ยด้วยไม่ได้ แต่ถ้าผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย  ถือได้ว่า ผู้เสียหายได้เรียกดอกเบี้ยแล้ว (แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล)

     

     

     

     

    ฎ. 6624/2545

            จำเลยผิดฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์  โดยจำเลยไม่ได้ทรัพย์ของกลางไป แต่หายไปในที่เกิดเหตุ

    ถือว่า    ผลของการกระทำผิดของจำเลยทำให้ผู้เสียหายต้องสูญเสียทรัพย์นั้นไป จำเลยจึงต้องรับผิดคืนหรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น

     

    ฎ. 855/2530 (ป)

              ฟ้องลักทรัพย์ (100,000บาท) หรือรับของโจร (10,000บาท) จำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจรความรับทางแพ่งของจำเลยคงจำกัดเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับความผิดฐานรับของโจรเท่านั้น

     

    ฎ. 3098/2543

              ฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์ 12 รายการ เป็นเงิน 35,885 บาท และจับจำเลยได้พร้อมของกลาง 4 รายการ เป็นเงิน 3,300 บาท ซึ่งคืนผู้เสียหายไปแล้ว ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานรับของโจร

    ดังนั้นเห็นได้ว่า ของกลางในส่วนความผิดฐานรับของโจร ซึ่งป็นความผิดที่จำเลยกระทำ ผู้เสียหายได้รับคืนครบถ้วนไปแล้ว จำเลยไม่ต้องคืนผู้เสียหายอีก

     

    ฎ. 6916/2542

            ระหว่างพิจารณาโจทก์ร่วมแถลงติดใจให้จำเลยชำระหนี้เพียงบางส่วนเท่านั้น เมื่อจำเลยไม่ชำระจำเลยต้องคืนเงินให้โจทก์ร่วมเท่าที่แถลงเท่านั้น ไม่ใช่จำนวนตามคำขอท้ายฟ้อง

    เพราะถือว่า  โจทก์ได้สละสิทธิเรียกร้องบางส่วนแล้ว

     

    ฎ. 1039/2516(ป)

              แม้ศาลยกฟ้องคดีส่วนอาญา (ไม่มีเจตนา)  ศาลยังมีอำนาจสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายได้

     

    ฎ. 3112/2523

            ถ้าศาลพิพากษายกฟ้อง เพราะความผิดทางแพ่งล้วนๆ (สมัครใจเล่นแชร์)

    กรณีไม่ใช่จำเลยได้ทรัพย์ไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ อัยการไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์คืนได้

     

    ฎ. 6067-6068/2534

            ฟ้องฐานฉ้อโกง ศาลฟังว่า เป็นการซื้อสุกรแล้วไม่ชำระราคา เป็นผิดสัญญาทางแพ่ง

    ผล       อัยการไม่มีอำนาจเรียกให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ได้

                           

     

     

                    สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับ คำขอส่วนแพ่งตกไปด้วย

    หลัก     ในกรณีที่สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามมาตรา 39 คำขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ก็ตกไปด้วย เช่น   - กรณีฟ้องโจทก์ขาดอายุความ

                  - กรณีผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์หรือยอมความ

    ผล           อัยการไม่มีสิทธิเรียกให้คืนหรือใช้ราคา แม้ผู้เสียหายจะขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วยก็ตาม

     

    ฎ. 3491/2534

              เมื่อถอนคำร้องทุกข์ เป็นการยอมความกันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องเกี่ยวกับความผิดดังกล่าวย่อมระงับไปตาม  ปวิอ. 39(2) และย่อมทำให้คำขอในส่วนแพ่งของโจทก์ย่อมตกไปด้วย ศาลล่างพิพากษาให้จำเลยใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย

     

    ฎ. 1547/2529      กรณีอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง

              จำเลยถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับ มีผลทำให้คำขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ของอัยการตกไปด้วย

     

    ฎ. 1238/2493  กรณีผู้เสียหายฟ้องเอง

              เมื่อจำเลยตาย คดีในส่วนแพ่งต้องมีการรับมรดกความตาม ปวิพ. มาตรา 42

     

    ฎ. 2212/2518

            คดีชิงตั๋วจำนำสายสร้อยซึ่งจำนำไว้เป็นราคา 300 บาท ราคาดังกล่าวเป็นราคาจำนำสายสร้อย

    ไม่ใช่ราคาตั๋วจำนำ เมื่อไม่ปรากฏราคาของตั๋วจำนำ ศาลไม่สั่งให้ใช้ราคาตั๋วนี้

    (ในส่วนการใช้ราคาทรัพย์นั้น หากไม่ปรากฏว่ามีราคาเท่าใดศาลจะไม่สั่งให้ใช้ราคา)

     

     

    ฎ. 1522/2536

              ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏแก่ศาลว่า ผู้เสียหายได้รับการชดใช้ค่าเสียหายเกินกว่าราคาทรัพย์ไปแล้ว

    ศาลก็จะพิพากษาให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์อีกไม่ได้  (นำเรือใหม่มาใช้แทนเรือเก่าแล้ว กรมชลประทานไม่เสียหายอีกต่อไป จำเลยจึงไม่ต้องคืนหรือใช้ราคาแทนกรมชลประทานอีก)

     

    ฎ. 1033-1104/2496

            การขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ตาม ปวิอ. 43 อัยการไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมตาม ปวิอ.253

    แม้ผู้เสียหายจะขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย  โจทก์ร่วมก็ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมด้วยเช่นกัน

     

     

    ฎ. 770/2499

    ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว โจทก์ร่วมอุทธรณ์ฝ่ายเดียว ฝ่ายอัยการไม่ได้อุทธรณ์ด้วย

    โจทก์ร่วมต้องเสียค่าธรรมเนียมด้วย

     

    ฎ. 4615/2543

            อัยการ ฟ้องเรียกทรัพย์หรือให้ใช้ราคา ถือว่าอัยการฟ้องแทนผู้เสียหายแล้ว

    ผล      - ผู้เสียหายมาฟ้องจำเลยให้รับผิดทางแพ่งอีกเป็นฟ้องซ้อน  ปวิพ. 173(1)

              - ถ้าคดีอาญาถึงที่สุดไปแล้ว คำฟ้องของผู้เสียหายก็เป็นฟ้องซ้ำ  ปวิพ. 148

     

    ฎ. 12414/2547 (ป)

              ปวิอ. 43 บังคับอัยการฟ้องเรียกได้เฉพาะต้นเงินเท่านั้น  สภาพไม่เปิดช่องให้เรียกดอกเบี้ยได้

    คดีแรกยังไม่มีการเรียกดอกเบี้ยมาก่อน และไม่ใช่ค่าเสียหายที่อัยการ สามารถฟ้องเรียกได้แต่ไม่เรียก

    ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีอาญาก่อนเฉพาะต้นเงินเท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยไม่ป็นฟ้องซ้อน

     

    ฎ. 180/2490

            ตามมาตรา 44 วรรคสอง ที่ให้คำพิพากษาในส่วนเรื่องเรียกทรัพย์สินหรือราคาเป็นส่วนหนึ่งแห่งคำพิพากษาคดีอาญา ทั้งนี้ไม่จำกัดว่า ทรัพย์นั้นจะมีราคาเท่าไร  ดังนี้คดีที่ฟ้องต่อศาลแขวง

    แม้ราคาทรัพย์สินที่เรียกจะมีราคามากน้อยเพียงใดศาลแขวงก็มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคำขอส่วนนี้ได้

     

    ฎ. 4419/2528

              อัยการเท่านั้นที่จะขอให้ใช้ทรัพย์ในคดีอาญา โดยไม่ต้องคำนึงถึงทุนทรัพย์ส่วนแพ่งว่าจะอยู่ในอำนาจของศาลแขวงหรือไม่  ดังนี้หากผู้เสียหายฟ้องเอง ย่อมไม่มีสิทธิ์ขอในส่วนแพ่งที่มีทุนทรัพย์เกินอำนาจศาลแขวงได้ เมื่อโจทก์ร่วมอุทธรณ์ฝ่ายเดียวย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาที่จะให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ และศาลอุทธรณ์ก็ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคำขอในส่วนนี้ด้วย

     

    ฏ. 16/2544

            ได้รับสายไฟฟ้าลวดทองแดงที่ถูกเผาคืนแล้ว  อัยการจะขอให้คืนหรือใช้ราคาเต็มของสายไฟฟ้าแก่ผู้เสียหาย ตามปวิอ. 43 อีกไม่ได้  แม้ผู้เสียหายจะได้รับความเสียหายจากการกระทำผิดของจำเลยเนื่องจากนำสายไฟไปใช้ตามวัตถุประสงค์เดิมไม่ได้ ก็เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องไปว่ากล่าวเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเองเป็นคดีใหม่

     

                                 

     

     

                                   สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนของผู้เสียหาย

                       (มาตรา 44/1,44/2,47,50,51,249,250,251,253,254,258 )

    หลัก   ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์

    ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทน เพราะ

    1.  ได้รับอันตรายแก่ ชีวิต ร่างกาย จิตใจ

    2.  หรือได้รับความเสื่อมเสียต่อเสรีภาพในร่างกาย ชื่อเสียง

    3.  หรือได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สิน

    อันเนื่องมาจากการกระทำผิดทางอาญาของจำเลย

    ผล     ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนได้

    -         การยื่นคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนของผู้เสียหาย

    1.  ยื่นก่อนสืบพยาน

    2.  ถ้าไม่มีการสืบพยาน ให้ยื่นก่อนศาลวินิจฉัยคดี

    3.  ให้ถือว่าคำร้อง เป็นคำฟ้องตาม ปวิพ.

    4.  ผู้เสียหายถือว่าเป็นโจทก์ในคดีแพ่ง

    5.  หากศาลเห็นว่าคำร้องขอขากสาระสำคัญบางเรื่องศาลสั่งแก้ให้ชัดเจนได้

     

    -ขอค่าสินไหมทดแทนอย่างอื่นที่ไม่ใช่เกิดจากการกระทำผิดทางอาญาของจำเลยไม่ได้

    - คำร้องต้องไม่ขัดหรือแย้งกับคำฟ้องคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์

    - อัยการดำเนินการขอให้ใช้หรือคืนราคาทรัพย์ตาม ปวิอ. แล้ว ผู้เสียหายจะขออีกไม่ได้

    - มาตรา 44/1 ทำให้ผู้เสียหายได้รับการเยียวยาความเสียหายทันท่วงทีในคราวเดียวกับการดำเนินคดีอาญา ทั้งนี้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล(ตามมาตรา 253 ที่แก้ไขใหม่ปี 2548)

     

    ข้อสังเกต

              1. ค่าสินไหมทดแทนที่ผู้เสียหายเรียก จากการที่ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่ ชีวิต ร่างกาย จิตใจ เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน คลอบคลุมความผิดทางอาญาที่ผู้เสียหายได้รับ กว้างขวางโดยไม่จำกัด

    ต่างกับ   อัยการ เรียกคืนหรือให้ใช้ราคาทรัพย์ ในความผิดอาญา 9 ฐาน เท่านั้น

              2. อัยการมีคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์สินแล้วก็ตาม หากยังมีความเสียหายอย่างอื่นๆอีก  ผู้เสียหายมีสิทธิ์ยื่นคำขอให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมได้

              3. ค่าสินไหมทดแทนที่ผู้เสียหายเรียก ถือว่า เป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิด

                       -การเรียกค่าสินไหมเพื่อการละเมิดต้องเป็นไปตาม ปพพ. 438-448

                    -ทำให้เรียกค่าสินไหมทดแทนได้อย่างกว้างขวาง เช่น ค่าปลงศพ ค่าขาดไร้อุปการะ ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่มิใช่เป็นตัวเงิน  รวมทั้งที่กระทำการก็ขอได้ เช่น จำเลยบุกรุกก็ขับไล่ได้  คดีฉ้อโกงก็ร้องขอให้เพิกถอนการโอนได้ คดีทำให้เสียทรัพย์ก็ร้องขอให้ทำให้ทรัพย์คืนสู่สภาพเดิมได้

                       -ค่าเสียหายเป็นเงินรียกดอกเบี้ยได้

              4. ผู้เสียหายสามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนฯตาม 44/1 1 รวมทั้งการให้ใช้หรือคืนทรัพย์ด้วย

    แต่ถ้าอัยการเรียกแล้ว ผู้เสียหายขออีกไม่ได้

              5. ผู้เสียหายใช้สิทธิเรียกค่าเสียหายได้ เฉพาะคดีแพ่งต่อเนื่องคดีอาญาเท่านั้น

              6. การยื่นคำขอค่าสินไหมฯ ของผู้เสียหายต้องยื่นก่อนเริ่มสืบพยาน หรือถ้าไม่มีการสืบพยาน (จำเลยสารภาพ) ต้องยื่นก่อนศาลวินิจฉัยคดี

    ต่างกับอัยการ ยื่นคำร้องได้ระหว่างคดีพิจารณาอยู่ในศาล

              7. คำร้องถือเป็นคำฟ้องแพ่ง ขาดสาระสำคัญบางเรื่องศาลสั่งแก้ได้ และต้องไม่ขัดหรือแย้งกับคำฟ้องคดีอาญาของอัยการ

              8. คำร้องต้องแสดงรายละเอียดตามสมควรเกี่ยวกับความเสียหายและจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่เรียกร้อง คำร้องดังกล่าวจึงไม่อยู่ภายใต้บังคับ ปพพ.มาตรา 172 2 ที่ต้องแสดงโดยแจ้งชัดทั้งข้อหา ข้ออ้าง และคำขอบังคับ ทั้งตาม ปวิอ. 44/2 วรรคสอง  ยังให้อำนาจศาลสั่งแก้ไขคำร้องที่ขาดสาระสำคัญได้ แสดงว่า คำร้องดังกล่าว กล่าวได้เฉพาะความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับ และมีคำขอเฉพาะจำนวน    ค่าสินไหมทดแทนที่เรียกร้องเท่านั้นจะมีคำขอในคดีอาญาไม่ได้

     

                            การยื่นคำให้การและการสืบพยาน (44/2)

    1. ศาลรับคำร้องแล้ว     ให้แจ้งจำเลยทราบ

    2. หากจำเลยประสงค์     ให้การ/ไม่ให้การ       ให้ศาลบันทึกไว้

       - จำเลยประสงค์ให้การเป็นหนังสือ      ให้ศาลกำหนดระยะเวลายื่นคำให้การตามสมควร

         (กฎหมายไม่ให้อำนาจศาลสั่งจำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือ)

    3. อัยการสืบพยานเสร็จ     ศาลอนุญาตผู้เสียหายนำพยานเข้าสืบค่าสินไหมทดแทนเท่าที่จำเป็น

       หรือศาลพิจารณาคดีอาญาไปก่อน แล้วพิจารณาคดีแพ่งภายหลังก็ได้

     

    -         ผู้ยื่นคำร้องตาม ปวิอ. 44/1 เป็นคนยากจน  ศาลมีอำนาจตั้งทนายความให้ผู้นั้น

    -         ปวิอ. 44/2 2 ได้บัญญัติวิธีการเกี่ยวกับการให้การต่อสู้คดีของจำเลยไว้แล้วกรณีจึงไม่มีการออกหมายเรียกให้จำเลยยื่นคำให้การ ภายใน 15 วัน (ปวิพ. 1771 ) จำเลยจึงไม่ต้องยื่นคำให้การภายใน 15 วัน   นับแต่วันได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง    และในกรณีที่จำเลยไม่ประสงค์จะให้การให้ศาลบันทึกไว้  กรณีจึงไม่มีการขาดนัดยื่นคำให้การเช่นเดียวกัน

    -         สำหรับการสืบพยาน เมื่ออัยการสืบพยานเสร็จ  ศาลจะอนุญาตให้ผู้เสียหายนำพยานเข้าสืบเรื่องค่าสินไหมทดแทนเท่าที่จำเป็น (ปวิอ.44/21 ) และวันที่ศาลกำหนดให้ผู้เสียหายนำพยานเข้าสืบไม่ใช่ วันสืบพยาน เมื่อฝ่ายใดไม่มาศาล จึงไม่ถือว่า ขาดนัดพิจารณา

    -         ผู้เสียหายไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล เว้นแต่ ศาลเห็นว่า ค่าสินไหมฯสูงเกินไป หรือดำเนินคดีไม่สุจริต

    -         ศาลมีอำนาจให้ชำระค่าธรรมเนียม   ทั้งหมด/บางส่วน   ภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด

    -         เพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลถือว่า  ทิ้งฟ้อง

    (ไม่เสียค่าธรรมเนียมศาลนั้น  ใช้ทั้ง ศาลชั้นต้น  อุทธรณ์ และฎีกา )

     

    -         ตามปวิอ. 254 ถ้าผู้เสียหายฟ้องคดีอาญาเองโดยมีคำขอ

    1.  ให้ใช้หรือคืนราคาทรัพย์สิน

    2.  หรือให้ใช้ค่าสินไหมฯติดมากับฟ้องคดีอาญา

    3.  หรือผู้เสียหายฟ้องคดีแพ่งโดยลำพัง  

        ผล    ให้เรียกค่าธรรมเนียมดังคดีแพ่ง

     

    -         ผู้เสียหายขอยกเว้นค่าธรรมเนียมมาพร้อมคำฟ้อง  ฟ้องอุทธรณ์ ฟ้องฎีกาได้

    หากศาลเห็นว่า ฟ้องคดีอาญามีมูลและการเรียกค่าสินไหมฯไม่เกินควรและเป็นไปโดยสุจริตให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอ

     

    -  คำสั่งศาลให้ยกค่าธรรมเนียมหรือยกคำขอ    ให้มีผลตั้งแต่ชั้นศาลซึ่งคดีนั้นอยู่ระหว่างพิจารณาไปจนกว่าคดี ถึงที่สุด เว้นแต่ พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป ศาลเปลี่ยนแปลงได้ตามสมควร (254 2 )

     

    -         ห้ามมิให้อุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งศาล ตาม ปวิอ.254(2)  (254(3) )

    -         เมื่อศาลมีคำสั่งให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์หรือใช้ค่าสินไหมฯ ตาม ปวิอ. 43,44,44/1 แล้ว

    ให้ถือว่า ผู้เสียหายเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา

     

     

                       คำพิพากษาส่วนแพ่งตามมาตรา 47 

    หลัก   มาตรา 47

            คำพิพากษาส่วนแพ่ง       เป็นไปตามความรับผิดทางแพ่ง

              ไม่คำนึงถึงว่า                     คดีอาญาพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดหรือไม่

              ราคาทรัพย์ที่ใช้คืน    ราคาจริง

              ค่าสินไหมฯ              ตามความเสียหายแต่ไม่เกินคำขอ

     

    ฎ. 1039/2516 (ป)

          แม้ศาลพิพากษายกฟ้องคดีอาญา ศาลยังมีอำนาจสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายได้    

     

    ฎ. 2737/2517

            ฟ้องไม่สมบูรณ์ลงโทษจำเลยไม่ได้ แต่จำเลยสารภาพว่ายักยอกเงินไป  อำนาจของอัยการที่จะว่ากล่าวเกี่ยวกับคำขอส่วนแพ่งยังคงมีอยู่ต่อไป ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งให้จำเลยคืนเงินผู้เสียหายได้     

    ฎ. 3112/2523

            ถ้าศาลยกฟ้องเพราะ เป็นความผิดทางแพ่งล้วนๆ (เล่นแชร์กัน) นั้น

    หาใช่เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญาไม่  อัยการจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกเงินแทนผู้เสียหาย

    ( เช่นเดียวกับ  ฟ้องฉ้อโกง แต่ศาลเห็นเป็นว่าซื้อสุกรแต่ไม่จ่ายเงิน เป็นคดีแพ่ง)

     

    ฎ. 12582/2547

            ใช้บัตรเครดิตปลอมซื้อของร้าน ก. ธนาคาร ข. จ่ายเงินให้ร้าน ก. จะเห็นว่า

    จำเลยผิดฐาน  ปลอม/ใช้เอกสาร   ต่อร้าน ก. ธนาคาร ข. ไม่ใช่ผู้เสียหายความผิดอาญาดังกล่าว

    ธนาคาร ข. จ่ายเงินให้ร้าน ก. เป็นความเสียหายทางแพ่ง อัยการไม่มีสิทธิเรียกเงินคืนให้ธนาคาร ข.

     

    ฎ. 1552/2524

              ศาลลงโทษจำคุกคนขับสองฝ่ายที่ชนกันโดยลงโทษจำคุก คนละ 5 ปี เท่ากัน

    จะถือว่าสองฝ่ายประมาทเท่ากันในความรับผิดทางแพ่งไม่ได้

     

                       การฟังข้อเท็จจริงคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา มาตรา 46

    หลัก      คดีแพ่งต้องถือข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามคำพิพากษาคดีอาญา

     

    -ต้องเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา

     

    ฎ. 905/2542

            -การพิจารณาคดีแพ่งใดเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหรือไม่ ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีแพ่งนั้นว่าเป็นการกระทำที่เป็นองค์ประกอบความผิดในคดีอาญาหรือไม่

              -ใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมทำสัญญาซื้อขาย โจทก์แจ้งความดำเนินคดีฐานใช้เอกสารปลอม ศาลลงโทษคดีถึงที่สุด นับได้ว่าคดีแพ่งและคดีอาญาต่างมีประเด็นสำคัญโดยตรงอย่างเดียวกัน 

    จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา

              -เมื่อคดีอาญาถึงที่สุดแล้วศาลพิพากษาลงโทษจำเลยก่อนที่โจทก์ได้ยืนฟ้องคดีแพ่งสิทธิของโจทก์ที่ฟ้องคดีแพ่งย่อมมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตาทปพพ. 193/32 และ ปวิอ. มาตรา 513

     

    ฎ. 2463/2539

            ฟ้องเพิกถอนกลฉ้อฉลตาม ปพพ. 237 เป็นสิทธิเรียกร้องไม่ต้องอาศัยมูลความผิดอาญาฐานโกงเจ้าหนี้ จึงไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา

     

     

     

    ฎ. 1127/2536

              ฟ้องศาลให้มีคำพิพากษาการสมรสเป็นโมฆะ ตาม ปพพ. :ซึ่งไม่ต้องอาศัยมูลความผิดอาญาฐานแจ้งความเท็จ จึงไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา

     

    ฎ. 185/2545

            ฟ้องโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลย  ถือเป็นการฟ้องโดยอาศัยมูลตามสัญญา

    ไม่เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา

     

    ฎ. 120/2540

            คดีที่ฟ้องเรียกเงินตามเช็คอันเป็นสิทธิเรียกร้องที่ไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญา

    จึงไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา จะนำบทบัญญัติ ปวิอ.46 มาใช้บังคับไม่ได้

     

    ฎ. 2637/2542

            แม้คดีแพ่งศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาว่า จำเลยเข้าใจว่าต้นอ้อยที่จำเลยตัดเป็นของที่มอบให้จำเลยดูแลและไม่ทราบว่าเป็นของโจทก์

    ในคดีแพ่งซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยฐานละเมิด ศาลฟังข้อเท็จจริงได้ว่า การที่จำเลยเข้าใจว่าตนมีอำนาจกระทำได้  เกิดจากการความประมาทเลินเล่อของจำเลย เป็นการกระทำละเมิดต้องรับผิด

     

    ฎ. 10294/2546

            คดีอาญาฟังข้อเท็จจริงว่า  สมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน

    ในส่วนคดีแพ่งต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีอาญาและฟังว่า การกระทำดังกล่าวของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์

     

     

                                  หลักเกณฑ์การรับฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา

    ประกอบด้วยหลักเกณฑ์  3 ประการ ดังนี้คือ

    1.  คำพิพากษาคดีอาญาต้องถึงที่สุดแล้ว

    2.  ข้อเท็จจริงดังกล่าวต้องเป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาและวินิจฉัยไว้โดยชัดแจ้ง

    3.  ต้องเป็นคู่ความในคดีอาญา

     

    ฎ. 623/2529

            การที่จำเลยถึงแก่ความตายก่อนคดีถึงที่สุด จะนำ ปวิอ. 46 มาใช้บังคับไม่ได้

    ดังนั้น   จะนำข้อเท็จจริงในคดีอาญามารับฟังในคดีแพ่งไม่ได้ ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งใหม่

     

    ฎ. 1104-1105/2501

              จำเลยตายระหว่างฎีกา จะฟังข้อเท็จจริงที่ศาลล่างพิพากษาไว้มาผูกมัดในคดีแพ่งไม่ได้

    ต้องสืบพยานในคดีแพ่งใหม่

     

    ฎ. 1948/2520

              แม้จะเป็นคำพิพากษาในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง (ข้อหาฟ้องเท็จ ศาลพิพากษายกฟ้อง)

    คดีถึงที่สุด  ศาลยกฟ้องด้วย

     

    -         ต้องเป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาและวินิจฉัยโดยชัดแจ้งด้วย

    ฎ. 2839/2540

            คำพิพากษาคดีอาญาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยขาดเจตนาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ เท่านั้น

    มิได้วินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นของใคร ประเด็นโดยตรงที่ว่าที่พิพาทเป็นของใครยังไม่ได้วินิจฉัย

    จะนำข้อเท็จจริงในคดีอาญามาผูกพันคดีแพ่งไม่ได้

     

    ฎ. 4377/2546

            คดีอาญาศาลพิพากษายกฟ้องเพราะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญา ในปัญหาที่ว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่  เป็นข้อยุติในคดีแพ่งแล้ว

     

    ฎ. 8269/2544

              คำพิพากษาคดีอาญาฟังว่า “มีเหตุให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ที่ดินพิพาทอาจเป็นของจำเลยก็ได้ และยังโต้เถียงสิทธิครอบครองอยู่” ยังไม่ชัดแจ้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์  จึงรับฟังเป็นยุติในคดีแพ่งไม่ได้ว่า ที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นของโจทก์

     

    ฎ. 2286/2529

            คำพิพากษาในคดีอาญาที่ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอฟังว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้อง

    เท่ากับฟังว่า โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ซึ่งถือว่า ศาลได้วินิจฉัยโดยชัดแจ้งแล้ว

    โจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยในคดีแพ่งอีก จึงต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญา  ตาม ปวิอ. ม.46

     

    ฎ. 402/2530

            คดีอาญาวินิจฉัยว่า ที่พิพาทยังโต้เถียงกันอยู่ ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นของใคร ดังนี้

    ถือว่ายังไม่แน่ชัดว่าที่พิพาทเป็นของใคร ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงไม่ผูกพันคดีแพ่ง

     

     

     

    ฎ. 1256/2538

              แต่ถ้าคดีอาญาศาลฟังข้อเท็จจริงว่าคดีไม่พอฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ เท่ากับศาลวินิจฉัย

    แล้วว่า ที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย

     

    ฎ. 7801/2498

            ในคดีลักทรัพย์มีประเด็นเพียงว่า จำเลยเป็นคนร้ายลักข้าวหรือไม่ ประเด็นที่ว่านาข้าวเป็นของผู้ใด  จึงไม่ใช่ประเด็นโดยตรงในคดีอาญา ที่ศาลวินิจฉัยว่านาข้าวเป็นของจำเลยจึงไม่ผูกพันคดีอาญา

     

    ฎ. 1369/2514

              ข้อเท็จจริงในคดีอาญาฟังว่าจำเลยประมาท การวินิจฉัยคดีแพ่งจึงต้องฟังว่าจำเลยประมาท

    แต่จำเลยต่อสู้ในคดีแพ่งได้ว่า โจทก์มีส่วนประมาทด้วยไม่ขัดกับมาตรา 46

     

    ฎ. 2813/2518

            ในคดีอาญาฟ้องว่าจำเลยขับรถโดยประมาทฝ่าไฟแดง ส่วนในคดีแพ่งฟ้องว่า

    จำเลยประมาทโดยขับรถเร็ว เป็นคนละประเด็นกัน ฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งใหม่ได้

    (-ดังนั้นข้อเท็จจริงในคดีแพ่งที่ศาลจำต้อง ถือตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา

    จึงมีเพียงว่าจำเลยมิได้ขับรถประมาทฝ่าไฟแดง ส่วนประเด็นข้อที่ว่าจำเลยขับรถประมาทด้วยความเร็วสูงเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ศาลอาญามิได้วินิจฉัยไว้)

     

    ฎ. 2670/2528

              คดีอาญาฟังว่า โจทก์และจำเลยต่างมีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย

    ในคดีแพ่ง จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์จำเลยต่างทำร้ายกันไม่เป็นละเมิด

                   

     

    -คำพิพากษาคดีอาญาจะต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงไว้ชัดแจ้ง

     

    ฎ. 5178/2538

            คดีอาญาวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานโจทก์ตกอยู่ในความสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดหรือไม่ จึงยกประโยชน์ความสงสัยนั้นให้จำเลย ถือว่ามิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้ง ไม่ผูกพันคดีแพ่ง

    คดีแพ่งจึงจำต้องวินิจฉัยให้ได้ความชัดว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถคันเกิดเหตุและเป็นผู้ก่อเหตุละเมิดหรือไม่

     

    ฎ. 1674/2512 (ป)

              ถ้าคำพิพากษาคดีอาญาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมา ไม่มีน้ำหนักรับฟังลงโทษจำเลยได้ ถือว่า เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีอาญาโดยชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิด  แม้จะมีข้อวินิจฉัยของศาลด้วยว่า พยานของโจทก์มีข้อน่าสงสัยและยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยด้วยก็ตาม ก็คงเป็นเหตุผลที่แสดงเพิ่มเติมขึ้นเท่านั้น

    (ศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่ง ขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญาหาได้ไม่)

     

    ฎ. 928/2507

            เหตุรถชนกันนั้นอาจเกิดจากความประมาทของจำเลยกับบุคคลอื่น ก็เป็นได้ทั้งสองทางเท่าๆกัน

    และยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย เป็นคำวินิจฉัยที่ยังไม่ยุติว่าอย่างไร ไม่ผูกพันคดีแพ่ง

    โจทก์อาจนำสืบในคดีแพ่งอีกได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายประมาททำให้บุตรโจทก์ตาย

     

    ฎ. 695/2540

            ในคดีแพ่งจะรับฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญา ก็แต่เฉพาะข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นสำคัญ  ถ้าเป็นเพียงประเด็นปลีกย่อย ต้องมีการสืบพยานกันต่อไป

    (คดีอาญาวินิจฉัยว่า บุกรุก แต่บุกรุกเท่าไรเป็นปลีกย่อยต้องสืบพยานในคดีแพ่งกันต่อไป)

     

    -         ต้องเป็นคู่ความในคดีอาญา

     

    หลัก  :  -ผู้ที่ถูกข้อเท็จจริงในคดีอาญามาผูกพันในคดีแพ่งต้องเป็นคู่ความในคดีอาญาเท่านั้น(โจทก์/จำเลย)

              -คดีอาญาที่อัยการเป็นโจทก์ ก็ต้องถือว่า อัยการดำเนินคดีแทนผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงในคดีอาญาจึงผูกพันผู้เสียหายกับจำเลยในคดีแพ่ง แม้ในคดีอาญาผู้เสียหายมิได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมก็ตาม

     

    ฎ. 4422/2536

              ความผิดบางฐานรัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย ราษฎรไม่อาเป็นผู้เสียหายได้ จึงถือไม่ได้ว่า

    อัยการฟ้องคดีดังกล่าวแทนผู้เสียหาย เช่น ความผิดตาม พรบ. จราจรทางบก ข้อเท็จจริงในคดีอาญาจึงไม่ผูกพันคดีแพ่ง

     

    ฎ. 2670/2528

              คู่ความในคดีอาญาที่จะต้องผูกพันในคดีแพ่งนี้ แม้จะเป็นคู่ความฝ่ายเดียวกัน ก็ต้องผูกพันด้วย

     

    ฎ. 2061/2517

              คำพิพากษาคดีส่วนอาญาไม่ผูกพันถึงบุคคลภายนอกด้วยนั้น นายจ้าง บริษัทรับประกันภัย

    (โจทก์ทั้งสองเป็นบุคคลภายนอกคดีอาญา นำหลัก ปวิอ. 46 มาใช้ในการพิจารณาคดีแพ่งไม่ได้)

    ฎ. 1957/2534

              คดีอาญาพิพากษาว่า ลูกจ้างผู้กระทำผิดขับรถโดยประมาท  ไม่ผูกพันนายจ้าง

    ในการฟ้องคดีแพ่ง โจทก์ต้องนำสืบให้ได้ความว่า ลูกจ้างประมาทด้วย

    เมื่อโจทก์ไม่สืบนายจ้างจึงไม่ต้องรับผิด

     

    ฎ. 806/2540

            คดีแพ่งโจทก์ฟ้องจำเลย(ผู้ว่า) ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่อ้างว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ

    เกี่ยวเนื่องกับคดีที่อัยการฟ้องคดีอาญาข้อหาบุกรุก  เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา

    (จำเลย(ผู้ว่า) เป็นเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองมีหน้าที่ดูแลและป้องกันมิให้ผู้ใดบุกรุกที่ดินเพื่อสาธารณะประโยชน์ จึงเป็นผู้เสียหายในคดีอาญานั้น)

     

    ฎ. 5695/2544

            การพิพากษาคดีส่วนอาญาไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีแพ่งเพราะในคดีอาญาศาลจะต้องดำเนินการพิจารณาและสืบพยานโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย โจทก์ก็ต้องนำสืบให้ได้ความชัดแจ้งปราศจากข้อสงสัย ว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงจึงจะพิพากษาลงโทษได้

     

    ฎ. 2320/2523

            ไม่มีกฎหมายบังคับให้การพิพากษาคดีส่วนอาญาจะต้องถือตามข้อเท็จจริงในคดีอาญาเรื่องอื่น

    แม้จะมีมูลกรณีเดียวกัน หรือเกี่ยวข้องกันก็ตาม

     

    ฎ. 399/2546

              ความเห็นของพนักงานสอบสวน ไม่ใช่คำพิพากษาส่วนอาญา ฉะนั้นในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งจึงไม่ต้องถือตาม

     

    ฎ. 176/2538

            การเปรียบเทียบปรับของพนักงานสอบสวน(ขับรถประมาท) ไม่ใช่คำพิพากษาคดีส่วนอาญา

    ไม่ต้องด้วย ปวิอ. มาตรา 46

     

    -การฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาเป็นสำนวนเดียวกัน การพิจารณาพิพากษาก็ทำพร้อมกันไป

    จึงไม่มีปัญหาว่าการพิจารณาคดีส่วนแพ่งต้องรอฟังข้อเท็จจริงคดีส่วนอาญาให้เสร็จสิ้นก่อนหรือไม่

     

    -ในกรฟ้องคดีแพ่งต่างหากจากคดีอาญา ปวิอ. มุ่งหมายให้ศาลที่จะพิพากษาคดีส่วนแพ่งรอฟังผลของคดีอาญาก่อนแล้ว จึงพิพากษาคดีส่วนแพ่งไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญานั้น

     

    ฎ. 2361/2548

            ข้อวินิจฉัยในคดีอาญาที่ว่าจำเลยสร้างบ้านในที่ดินพิพาทนั้นเป็นของโจทก์หรือไม่ เป็นปัญหาโดยตรงในการวินิจฉัยคดีส่วนอาญา ดังนั้น ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญาซึ่งถึงที่สุดแล้วดังกล่าว จะฟังว่าเป็นของจำเลยหรือเป็นลำห้วยสาธารณะประโยชน์หรือออกโฉนดที่ดินทับลำห้วยสาธารณะประโยชน์มิได้

     

     

                       อำนาจในการสั่งคืนของกลางตาม มาตรา 49

    ฎ. 3712/2532

              ในคดีอาญาแม้โจทก์จะมิได้มีคำขอเกี่ยวกับของกลางมาด้วยก็ตาม  ศาลจะสั่งคืนของกลางแก่เจ้าของก็ได้  ตามปวิอ. มาตรา 49 และมาตรา 186(9)

     

     

                    อายุความคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา   (มาตรา 51)

    ฎ. 383/2497

            อายุความทางอาญาใช้เฉพาะผู้กระทำผิดเท่านั้น นายจ้างมิได้กระทำผิดอาญาด้วยต้องใช้อายุความทางแพ่ง ในเรื่องละเมิดตามธรรมดา ตามปพพ.488 คือ  1 ปี

     

    ฎ. 2390/2535

            ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีอาญาชั่วคราว คดีอาญายังไม่เด็ดขาด อายุความฟ้องคดีแพ่งย่อมสดุดหยุดลงตาม ปวิอ. มาตรา 51  2

     

    ฎ. 6038/2537

            ปพพ. 1375 ไม่ใช่อายุความฟ้องร้อง นำเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงตาม ปวิอ. 51 มาใช้ไม่ได้

    โจทก์ต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง มิฉะนั้นหมดสิทธิเรียกร้องเอาคืน

     

    ฎ. 3032/2533

            ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้อง เนื่องจากโจทก์มิได้ร้องทุกข์ภายใน สามเดือน

    นับตั้งแต่วันรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด คดีขาดอายุความตาม ปอ. 96

    กรณีโจทก์จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ ปวิอ. มาตรา 51 ต้องฟ้องภายใน 1 ปี

    นับแต่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้พึงใช้ค่าสินไหมทดแทน


    โดย : Administrator  วัน - เวลา : จันทร์ 18 เมษายน 2554 | 17:05:19   From ip : 183.89.249.217

    ร่วมแสดงความคิดเห็น
    ชื่อผู้แสดงความคิดเห็น :
    อีเมลล์ (E-mail) :
    แสดงความคิดเห็น :
    ภาพประกอบ :




    ** สูงสุด 6 ภาพ ต่อการโพส 1 ครั้งคะ ใช้ภาพที่เป็นสกุล .jpg, .gif, .png นะคะ ชื่อไฟล์ขอเป็นภาษาอังกฤษนะคะ

    รหัสอ้างอิง :

      


    http://www.thailawyer.net/ ให้คุณมากกว่าที่คุณคิด